Power of The Act: เมื่อนักกฎหมายเป็นส่วนสำคัญของ CCUS Workforce

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 5, 2025 16:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

Power of The Act: เมื่อนักกฎหมายเป็นส่วนสำคัญของ CCUS Workforce
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ผู้เขียนได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นผู้ร่วมอภิปรายในกิจกรรม Special Session: Building Human Capital for Thailands CCUS Future ซึ่งจัดขึ้นภายในการประชุมวิชาการ Nanothailand Conference 2025 จัดโดยเครือข่ายพันธมิตร ด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Alliance: TCCA) ทั้งนี้ งานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวทางการเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรของประเทศในการเตรียมความพร้อมต่อเทคโนโลยีดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS)
ผู้เขียนได้รับโจทย์ให้นำเสนอถึง "บทบาทที่จำเป็นของนักนิติศาสตร์" ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านเทคโนโลยี CCUS ในหัวข้อ "CCUS Workforce Development" จึงตั้งประเด็นในการอภิปรายแลกเปลี่ยนว่าแม้เราจะไม่ได้เรียนวิชาเฉพาะชื่อ CCUS Law มาโดยตรง นักนิติศาสตร์ก็ยังเป็นกำลังสำคัญของ CCUS Workforce โดยอาศัยความเข้าใจพื้นฐานที่ว่ากฎหมายนั้นสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือที่รัฐกำหนดข้อห้ามการกระทำ กำหนดสิ่งที่ต้องทำ สร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทานในกิจการ CCUS ได้
สร้างอุปสงค์ดักจับด้วยข้อห้ามการปล่อยมลพิษ
โรงงานอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาลดหรือหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อใด? เป็นไปได้ที่ผู้ประกอบการอาจริเริ่มแนวคิดนี้เอง มีคำขอจากลูกค้า หรือถูกรัฐ "บังคับ" ในสหรัฐอเมริกา หน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (EPA) มีความพยายามที่จะใช้อำนาจตามกฎหมาย (Clean Air Act) ในการจำกัดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้าที่อาศัยเชื้อเพลิงฟอสซิล ในขณะที่สหภาพยุโรปก็ได้อาศัยกฎหมายคือ EU Directive เพื่อสร้างระบบจำกัดสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซ (EU emission trading system) ระบบจำกัดสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนี้บังคับให้ประเทศสหภาพยุโรปดำเนินการให้ภาคอุตสาหกรรม เช่น ภาคไฟฟ้าและภาคการผลิตต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เมื่อการปล่อยถูกจำกัดสิทธิการในการปล่อยจึงเกิดมูลค่า เป็นที่ต้องการและนำไปซื้อขายได้ หรือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาจถูกเปลี่ยนพฤติกรรมคือไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือปล่อยให้น้อยลง ผ่านกระบวนการดักจับก๊าซเรือนกระจกมิให้มีการปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยายกาศ ในมิตินี้ จะเห็นได้ว่า "กฎหมาย" สามารถถูกออกแบบและพัฒนาให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมได้

ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาตรา 55 ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ และโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด สำหรับควบคุมการระบายน้ำทิ้ง การปล่อยทิ้งอากาศเสีย ด้วยอำนาจนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดให้โรงงานอุตสาหกรรม (ประเภทที่รัฐต้องการควบคุมตามนโยบายรัฐ) ต้องควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น อาจกำหนดให้โรงไฟฟ้าที่มีการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลต้องควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้

เมื่อสหรัฐอเมริกามี Clean Air Act ประเทศไทยเราก็มีพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเพื่อประชาชน รับรองสิทธิของบุคคลในการได้รับอากาศสะอาด และบัญญัติให้อำนาจแก่คณะกรรมการอากาศสะอาดมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนด "มาตรฐานคุณภาพอากาศสะอาด" ในชั้นบรรยายกาศโดยทั่วไปตามมาตรฐานสากล รัฐย่อมสามารถอาศัยอำนาจตามกฎหมายนี้กำหนดให้โรงไฟฟ้าที่มีการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลต้องมีมาตรฐานอากาศสะอาดโดยห้ามมิให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
ตามร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเพื่อประชาชน พ.ศ. ... ให้คณะกรรมการมลพิษทางอากาศ เสนอหลักเกณฑ์และมาตรฐานความปลอดภัยควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการอากาศสะอาดและให้รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา บทบัญญัตินี้ให้อำนาจ "รัฐ" ในการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยโดยเฉพาะเจาะจงที่แหล่งกำเนิดส่งผลให้การปล่อยมลพิษที่เกินกว่าหลักเกณฑ์และมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดไว้นี้ ย่อมถือเป็นการกระทำที่ต้องถูกควบคุมหรือสั่งให้ระงับ
ทั้งนี้ คณะกรรมการมลพิษทางอากาศมีอำนาจกำหนดค่าความเป็นพิษขั้นสูงและขั้นต่ำตามมาตรฐานสากลของมลภาวะทางอากาศตามประเภทและลักษณะของมลพิษจากแหล่งมลพิษต่าง ๆ ตามหมวดนี้ และประสานงานระหว่างส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน เพื่อควบคุม ป้องกัน ลดหรือขจัดมลพิษทางอากาศ เป็นมาตราที่ให้อำนาจในการ สั่งห้ามการปล่อยมลพิษ หรือสั่งให้หยุดการดำเนินการใด ๆ ที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษหากก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนหรือเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด
ผู้เขียนเห็นว่าทั้ง "มาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด" ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และ "มาตรฐานคุณภาพอากาศสะอาด" ตามพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเพื่อประชาชนนั้นสามารถ "ถูกบังคับใช้" เพื่อทำให้โรงงานอุตสาหกรรมบางประเทศเปลี่ยนพฤติกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ โดยที่กฎหมายเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องบัญญัติถึงกิจการ "CCUS" โดยตรง
*กำกับดูแลวิธีการดักจับเพื่อควบคุมมาตรฐานสิ่งแวดล้อม
รัฐจะกำกับดูแลพฤติกรรมการประกอบกิจการอย่างไรจึงจะทำให้การดักจับก๊าซเรือนกระจกกลายเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบกิจการโรงงาน?

ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 8 เพื่อประโยชน์ในการควบคุมการประกอบกิจการโรงงานให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อให้โรงงานจำพวกใดจำพวกหนึ่งหรือทุกจำพวกตามมาตรา 7 ต้องปฏิบัติตาม (5) กำหนดมาตรฐานและวิธีการควบคุมการปล่อยของเสีย มลพิษหรือสิ่งใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งเกิดขึ้นจากการประกอบกิจการโรงงาน รวมทั้งกฎกระทรวงและประกาศกระทรวง

จากบทบัญญัติข้างต้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมสามารถออกกฎกระทรวงกำหนดให้โรงงานบางจำพวก เช่น โรงไฟฟ้าพลังความร้อนต้องปฏิบัติตามมาตรฐานและ "วิธีการ" ควบคุมการปล่อยของเสียหรือมลพิษ หากประกาศกระทรวงนี้สร้างความชัดเจนว่า "การดักจับ" ตามวิธีการที่กฎหมายกำหนดนั้นสามารถช่วยให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานสามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้แล้ว ข้อกฎหมายนี้ย่อมมีส่วนช่วยสร้างอุปสงค์บริการดักจับเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายสำหรับผู้ประกอบกิจการโรงงานที่ถูกควบคุม
*การใช้ประโยชน์จากก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับแล้ว

สถานะทางกฎหมายที่เปิดทางสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 138 ทรัพย์สิน หมายความรวมทั้งทรัพย์และวัตถุไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้ และมาตรา 1336 ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับมาได้เป็นทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ปล่อยมลพิษซึ่งสามารถครอบครองและขายต่อได้

ในมิตินี้ กฎหมายนี้สามารถสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับถานะทางกฎหมายของก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดับจับได้ ความชัดเจนนี้ช่วยให้ผู้ที่ได้มาและครอบครองตัวก๊าซนั้นมีทรัพยสิทธิเหนือตัวก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดับจับ ไม่ใช่ของเสีย ขยะหรือสิ่งปฏิกูล และกลายเป็นวัตถุแห่งการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้

*การขนส่งก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับ
แต่การเป็นทรัพย์สินนั้นไม่ได้หมายความว่าจะดำเนินการใด ๆ กับก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับเอาไว้แล้วได้โดยอิสระ โดยเฉพาะอย่างหากก๊าซเหล่านี้อาจสร้างความอันตรายได้ โรงไฟฟ้าที่ได้ดักจับก๊าซเรือนกระจกแล้วอาจประสงคที่จะให้มีการขนส่งก๊าซดังกล่าวไปจากสถานประกอบการเมื่อสามารถระบุได้ว่าสิ่งที่ถูกดักจับเป็นประเภทหรือชนิดใด เป็นวัตถุอันตรายหรือไม่ การขนส่งก๊าซที่ถูกดักจับจะต้องได้รับการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยและขั้นตอนการดำเนินงานตามกฎหมายการขนส่งและกฎหมายความปลอดภัยของสารเคมี

สถานะความเป็นวัตถุอันตรายและการเก็บชั่วคราววัตถุอันตราย ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 มาตรา 18 วัตถุอันตรายแบ่งออกตามความจำเป็นแก่การควบคุมดังนี้ (1) วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ได้แก่วัตถุอันตรายที่การผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด (2) วัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ได้แก่วัตถุอันตรายที่การผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อนและต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดด้วย (3) วัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ได้แก่วัตถุอันตรายที่การผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องได้รับใบอนุญาต (4) วัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ได้แก่วัตถุอันตรายที่ห้ามมิให้มีการผลิต การนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน หรือการมีไว้ในครอบครอง

รัฐสามารถสร้างความชัดเจนได้ว่าก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับและครอบตลอดจนจะมีการขนส่งต่อไปนั้นมีสถานะเป็นวัตถุอันตรายหรือไม่ เพื่อสร้างความชัดเจนว่าการขนส่งนั้นจะตกอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 หรือไม่ ข้อสำคัญคือ ผู้ออกกฎหมายจะต้องเข้าใจลักษณะทางเทคนิคของก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับอย่างถ่องแท้ เป็นไปได้ที่ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดับจับนั้นมีลักษณะความอันตรายที่แตกต่างไปจากความอันตรายของวัตถุอันตรายตามนิยามที่กำหนดในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535

การขนส่งก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับแล้วเป็นการประกอบกิจการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงหรือไม่? ตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 มาตรา 18 เพื่อให้การควบคุมการประกอบกิจการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อปกป้องประชาชนให้มีความปลอดภัย ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดประเภทกิจการควบคุมของการมีน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ในครอบครอง สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง คลังน้ำมันเชื้อเพลิงและการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือทุกชนิดรวมกัน ให้สอดคล้องกับระดับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้ (1) ประเภทที่ 1 ได้แก่กิจการที่สามารถประกอบการได้ทันทีตามความประสงค์ของผู้ประกอบกิจการ (2) ประเภทที่ 2 ได้แก่กิจการที่เมื่อจะประกอบการต้องแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อน (3) ประเภทที่ 3 ได้แก่กิจการที่ต้องได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตก่อนจึงจะประกอบการได้ (วรรคสอง) การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางน้ำให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทย

หากสิ่งที่ถูกดักจับใดมีสถานะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกกำกับการประกอบกิจการขนส่งหรือเก็บชั่วคราวตามกฎหมายนี้ได้ ผู้เขียนกฎหมายจะเจอโจทย์ทางเทคนิคว่าก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดับจับนั้น เป็น "น้ำมันเชื้อเพลิง" ตามกฎหมายได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิยามที่ว่า "สิ่งอื่นที่ใช้หรืออาจใช้เป็นวัตถุดิบในการกลั่นหรือผลิตเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ใช้หรืออาจใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นสิ่งหล่อลื่น หรือสิ่งอื่นที่ใช้หรืออาจใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นสิ่งหล่อลื่น ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา" หากก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับ (ในปริมาณและสถานะที่กฎหมายกำหนด) มีสถานะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว การประกอบกิจการขนส่งย่อมตกอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542

*บริการกักเก็บก๊าซเรือนกระจก

ผู้ดักจับและผู้ขนส่งอาจให้บริการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับได้ ภายใต้กรอบนโยบาย "ประเทศไทย มุ่งสู่ Net Zero Emission ภายในปี ค.ศ.2065" บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ "ดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS)" ที่แหล่ง Arthit Gas Field ในอ่าวไทย ซึ่งนับเป็นโครงการ CCS เชิงพาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทย และเป็นหมุดหมายสำคัญของการนำเทคโนโลยีการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกมาใช้จริงในภาคพลังงาน โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการเตรียมตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision: FID) โดยมีเป้าหมายสามารถดักจับและกักเก็บ คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ราว หนึ่งล้านตันต่อปี ภายในช่วงเริ่มต้นของการดำเนินงาน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มฉีดกักเก็บ (injection) ได้ภายในปี พ.ศ. 2570

ในทางเทคนิค ปตท.สผ. สามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมของแหล่งผลิตก๊าซอาทิตย์เป็นฐานรองรับการดำเนินโครงการ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาและการจัดการชั้นหินใต้ทะเลเพื่อประเมินความมั่นคงและความปลอดภัยของการกักเก็บ CO₂ ในระยะยาว ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวไม่เพียงเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตของบริษัทเท่านั้น แต่ยังถือเป็นต้นแบบของ "ธุรกิจบริการรับอัดและกักเก็บ CO2 (Storage-as-a-Service)" ที่สามารถขยายผลไปสู่ภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในอนาคต สะท้อนให้เห็นถึงพลังของกรอบนโยบายและกฎหมายด้านพลังงานที่เปิดทางให้ภาคเอกชนสามารถลงทุนและนำนวัตกรรมสีเขียวมาใช้จริง เป็นการพิสูจน์ว่ากฎหมายและเทคโนโลยีสามารถทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้อย่างเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม โจทย์ในทางนิติศาสตร์คือ ปตท. สผ. สามารถอาศัยสิทธิในการประกอบกิจการประกอบกิจการปิโตรเลียมในการอัดก๊าซเรือนกระจกลงในแหล่งผลิตได้หรือไม่? ตามพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 4 "กิจการปิโตรเลียม" หมายความว่า การสำรวจ ผลิต เก็บรักษา ขนส่ง ขาย หรือจำหน่ายปิโตรเลียม โดย "ปิโตรเลียม" หมายความว่า น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติก๊าซธรรมชาติเหลวสารพลอยได้และสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและอยู่ในสภาพอิสระ "สารพลอยได้" หมายความว่า ก๊าซฮีเลียม คาร์บอนไดออกไซด์ กำมะถัน และสารอื่นที่ได้จากการผลิตปิโตรเลียม

ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับที่ถูกขนส่งมาจากพื้นที่อื่น ย่อมมิใช่สารพลอยได้จากการผลิตปิโตรเลียม และส่งผลให้เกิดคำถามได้ว่า ปตท. สผ. จะอาศัยสิทธิประกอบกิจการปิโตรเลียมในการบริการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้หรือไม่ หากมิใช่ส่วนหนึ่งของการประกอบกิจการปิโตรเลียมแล้ว การใช้บริการชั้นหินซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้บริการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกย่อมอยู่นอกขอบเขตการบังคับของพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514

โดยสรุป นักนิติศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการเป็นส่วนหนึ่งขของ CCUS Workforce โดยไม่จำเป็นต้องเรียนวิชา CCUS Law มาโดยตรง ความเข้าใจที่ว่า "มาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด" ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และ "มาตรฐานคุณภาพอากาศสะอาด" ตามพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเพื่อประชาชนนั้นสามารถ "ถูกบังคับใช้" เพื่อทำให้โรงงานอุตสาหกรรมบางประเทศเปลี่ยนพฤติกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ย่อมมีส่วนช่วยในการสร้างอุปสงค์ของบริการดักจับและกักเก็บก๊าซเรือนกระจก ส่วนพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ก็สามารถถูกใช้เพื่อกำหนดมาตรฐานในการประกอบกิจการโรงงานที่รองรับการใช้งานระบบดักจับ

ในขณะที่ กฎหมายสามารถสร้างความชัดเจนได้ว่าก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับและครอบตลอดจนจะมีการขนส่งต่อไปนั้นมีสถานะเป็นวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 หรือ อีกทั้งยังสามารถสร้างความชัดเจนว่าก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับซึ่งมีสถานะเป็นทรัพย์สินนั้นจะกลายเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 ท้ายที่สุด นักนิติศาสตร์มีหน้าที่ต้องตอบให้ได้ว่าสิทธิในการอัดก๊าซเรือนกระจกลงแหล่งกักเก็บนั้นเป็นสิทธิตามกฎหมายปัจจุบันหรือไม่ หากยังไม่มีสิทธินี้ก็จำเป็นที่รัฐจะต้องพัฒนากฎหมายเพื่อกำกับดูแลกิจกรรมการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกต่อไป

ผศ.ดร.ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ ผู้อำนวยการหลักสูตร LL.M. (Business Law)

หลักสูตรนานาชาติ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


แท็ก thailand   E 20  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ