ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.52/57 ทรงตัวจากช่วงเช้า ตลาดจับตาข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯ

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 5, 2025 17:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 32.52/57 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดตลาด เมื่อเช้าที่ระดับ 32.57 บาท/ดอลลาร์

เงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวทิศทางเดียวกับค่าเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ยกเว้นเงินเยน โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวใน กรอบ 32.40 - 32.70 บาท/ดอลลาร์

โดยเงินบาทยังคงนิ่ง ๆ ส่วนการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของไทยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา มีผลต่อเงินบาทเล็กน้อย เนื่อง จากออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดเพียง 0.05% เท่านั้น

นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.40 - 32.70 บาท/ดอลลาร์ สำหรับปัจจัยที่ต้อง ติดตามคืนนี้ คือตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนต.ค. จาก ADP ของสหรัฐฯ

  • ปัจจัยสำคัญ
  • เงินเยน อยู่ที่ระดับ 153.66/67 เยน/ดอลลาร์ จากเมื่อเช้าที่ระดับ 153.16 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.1483/1484 ดอลลาร์/ยูโร จากเมื่อเช้าที่ระดับ 1.1648 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ 1,295.29 จุด ลดลง 3.31 จุด (-0.25%) มูลค่าซื้อขาย 43,468.21 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 2,517.04 ล้านบาท
  • นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประเด็นเศรษฐกิจว่า ในช่วงเวลา 4 เดือนนี้ โฟกัสนโยบาย Quick Big Win ในการกระตุ้น
เศรษฐกิจ โดยที่รัฐบาลนี้สร้างพื้นฐานไว้ให้รัฐบาลในอนาคตนำไปต่อยอดอย่าง โครงการคนละครึ่ง พลัส ซึ่งเป็นนโยบายที่เกิดขึ้นจริงภาย
ในระยะเวลา 3 สัปดาห์ ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จริง นอกจากนี้จะผลักดันเฟส 2 คาดว่าจะ
ทำได้ในช่วงครึ่งหลังของเดือนธ.ค. 68 ซึ่งจะดำเนินการให้เสร็จก่อนยุบสภา
  • พาณิชย์ เผยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย เดือนต.ค. 68 เท่ากับ 100 หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง 0.76%YoY
โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ส่งผลให้ช่วง 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.) ลดลง 0.09% ทั้งนี้ ปัจจัยหลักมาจากมาตรการลดภาระ
ค่าครองชีพให้กับประชาชนของภาครัฐ และสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานลดลง ทั้งค่ากระแส
ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพ.ย. 68 คาดว่าจะยังคงลดลง ทั้งนี้ ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่ว
ไปปี 68 อยู่ที่ 0.0%
  • กกร. คาดเศรษฐกิจไทยปี 68 มีแนวโน้มขยายตัว 1.8-2.2% ตามที่ประเมินไว้เดิม แม้การส่งออกโตได้ประมาณ
9.5-10.5% แต่เป็นสินค้าที่มี Local Content ต่ำมาก และทองคำซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจจริง ประกอบกับการนำเข้าที่
ขยายตัวสูงถึง 10.2% ขณะที่เงินเฟ้อต่ำเพียง -0.1 ถึง 0.1% ตามราคาพลังงานที่แผ่วลง อย่างไรก็ดี หากสามารถเร่งรัดการเบิกจ่าย
งบประมาณปี 2569 ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ "คนละครึ่งพลัส" สนับสนุน SMEs และ Made In Thailand ตามแนวทาง
Quick Big Win ของรัฐบาลจะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 68 ให้โตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5%
  • หัวหน้านักวิเคราะห์ GCAP GOLD เปิดเผยว่า ราคาทองคำในสัปดาห์นี้ได้รับแรงกดดันรอบใหม่ หลังรัฐบาลจีนประกาศยก
เลิกมาตรการ "อุ้มภาษีทองคำ" มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยกฎใหม่ที่มีการบังคับใช้สำหรับผู้ค้าปลีกที่ซื้อทองผ่าน
SGE จะไม่สามารถ นำภาษีมูลค่าเพิ่มมาหักภาษีตอนขายทองได้อีก สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ ประเมินว่า "ทองคำอาจเข้าสู่ช่วง
สะสมพลัง" รอบใหม่ ก่อนเตรียมตั้งหลักเพื่อฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง สำหรับนักลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะกลางสามารถทยอยสะสมเมื่อราคาย่อตัว
โดยคาดว่าทองคำจะสร้างฐานบริเวณแนวรับสำคัญที่ 3,950-3,915 ดอลลาร์ ซึ่งมีแนวต้านสำคัญที่ต้องจับตาที่ 4,160-4,185 ดอลลาร์
  • การชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้ล่วงเข้าสู่วันที่ 36 แล้ว ณ เวลา 00.01 น. ตามเวลาท้องถิ่นในวันนี้
(5 พ.ย.) โดยทำลายสถิติเดิมที่ 35 วันในช่วงปี 61-62 และขึ้นแท่นการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
  • นายกรัฐมนตรีของจีน คาดการณ์ว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจของจีนจะพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงกว่า 170 ล้านล้านหยวน (23.9 ล้าน
ล้านดอลลาร์) ภายในระยะเวลา 5 ปี พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นจีนว่าเป็นตลาดที่กำลังเติบโตสำหรับบริษัทระดับโลก ในขณะที่รัฐบาล
พยายามบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับภาวะไร้สมดุลทางการค้าของประเทศ
  • ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 18-19 ก.ย. โดยระบุว่า กรรมการ BOJ บางส่วน

มีการอภิปรายเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยอ้างถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้ความระมัดระวัง เนื่องจากญี่ปุ่นประสบ

ปัญหาเงินฝืดเป็นเวลานาน ซึ่งสวนทางกับกรรมการ 2 คนคือนาโอกิ ทามูระ และฮาจิเมะ ทาคาตะ ที่เรียกร้องให้มีการปรับขึ้นอัตรา

ดอกเบี้ย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ