สภาพัฒน์ คาด GDP ปีนี้โต 2.0% ปีหน้า 1.7% หวังลงทุน-มาตรการรัฐ เป็นแรงขับเคลื่อนศก.ไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 17, 2025 10:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สภาพัฒน์ คาด GDP ปีนี้โต 2.0% ปีหน้า 1.7% หวังลงทุน-มาตรการรัฐ เป็นแรงขับเคลื่อนศก.ไทย

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 โดยประเมินว่าจะขยายตัวได้ 2.0% ส่วนในปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.7% (กรอบ 1.2-2.2%) โดยมองว่า ในปีหน้าการลงทุนจากภาครัฐจะมีส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งการที่รัฐบาลเร่งจัดงบประมาณปี 70 ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากงบประมาณมีความล่าช้า จะส่งผลต่อการเบิกจ่ายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะงบลงทุน ซึ่งจะเป็นเม็ดเงินที่จะไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการก่อสร้าง

สภาพัฒน์ คาด GDP ปีนี้โต 2.0% ปีหน้า 1.7% หวังลงทุน-มาตรการรัฐ เป็นแรงขับเคลื่อนศก.ไทย

"การเร่งจัดทำงบประมาณจะช่วยได้ และจากการที่กรอบงบลงทุนปีหน้าปรับสูงขึ้น จะมีผลอย่างมีนัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขึ้น ดังนั้นปีหน้า จะยังมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการลงทุนของภาครัฐ" น.ส.อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าว

ในขณะที่การส่งออกปีหน้า เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ชัดเจนมากขึ้น ดังนั้น การเจรจาทางการค้าก็จะมีบทบาทที่สำคัญมากต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้าเช่นกัน

"การเจรจา จึงมีความสำคัญมาก เพราะจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ถ้าการเจรจาได้ผล ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้น นอกจากนี้ จะต้องเร่งหาตลาดใหม่ โดยตลาดที่ยังมีศักยภาพสูง เช่น เอเชียใต้ และแอฟริกา" น.ส.อ้อนฟ้า ระบุ

ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/68 นั้น เลขาธิการสภาพัฒน์ ระบุว่า จากการที่สภาพัฒน์ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยทั้งปีนี้ไว้ที่ 2% และเศรษฐกิจไทยช่วง 3 ไตรมาส (ม.ค.-ก.ย.68) ขยายตัวได้เฉลี่ย 2.4% แล้วนั้น ในไตรมาสสุดท้ายที่เหลือของปีนี้ (ต.ค.-ธ.ค.68) เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวได้ไม่ถึง 1% หรืออาจอยู่ที่ราว 0.6% ซึ่งประมาณการดังกล่าว ได้รวมผลบางส่วนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไว้แล้ว

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ยังมีโอกาสจะขยายตัวได้มากกว่า 0.6% ซึ่งต้องรอดูผลจากอีกหลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะทยอยออกมาเพิ่มเติมด้วย อันจะเป็นแรงส่งที่สำคัญไปยังเศรษฐกิจไทยในปีหน้าด้วยเช่นกัน

"ตอนนี้ยังไม่สิ้นสุดไตรมาส 4 และมาตรการต่าง ๆ ยังไม่ได้ออกมามาก เรื่องเศรษฐกิจจะขึ้นกับ performance และอีกส่วนขึ้นกับ sentiment ที่จะนำไปสู่การสร้าง performance ในระบบเศรษฐกิจได้ ขึ้นกับความเชื่อมั่น มาตรการต่าง ๆ เช่น คนละครึ่งพลัส ได้รับการตอบสนองดี ถือว่ามีแรงส่งในเชิงบวกเรื่องการใช้จ่าย มีความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ดังนั้นหากรัฐบาลทำนโยบายเพิ่มเติมในไตรมาสที่ 4 นี้ ย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในปีหน้าได้ เรายังไม่ได้ปิดประตูตายว่า ไตรมาส 4 ปีนี้ GDP จะโตได้แค่ 0.6% เพราะยังต้องขึ้นกับอีกหลายตัวแปร เช่น การเจรจาการค้า มาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่กำลังจะออกมา ซึ่งจะช่วยในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจได้" เลขาธิการสภาพัฒน์ ระบุ
  • แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 69 ปัจจัยหนุน-ปัจจัยเสี่ยง

สภาพัฒน์ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 69 มีแนวโน้มขยายตัวในช่วง 1.2-2.2% (ค่ากลาง 1.7%) โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ดังนี้

1. การขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้จ่ายในสินค้าคงทนและภาคบริการ ตามการฟื้นตัวของยอดการจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว เช่นเดียวกับการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร ที่ขยายตัวต่อเนื่องสอดคล้องกับมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

2. การขยายตัวต่อเนื่องของแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาล

สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี และงบประมาณรายจ่ายเหลื่อมปี ประจำปีงบประมาณ 2569

3. การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และบริการที่เกี่ยวเนื่อง

สอดคล้องกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวน และรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเที่ยวบินเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง

4. การเพิ่มขึ้นของผลผลิตทางการเกษตร

โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณน้ำที่มากเพียงพอ และแนวโน้มการปรับเข้าสู่สภาวะเป็นกลาง (Neutral) ของสถานการณ์เอนโซ นับตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2569

อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ดังนี้

1. การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า โดยการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บต่อประเทศไทย

ผ่านผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกสินค้าของไทย ผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าที่เร่งตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะจากการถ่ายลำ (Transshipment) และผลกระทบต่อภาคการผลิตภายในประเทศ เนื่องจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ

2. แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก

โดยมีความเสี่ยงจากความยืดเยื้อ และความไม่แน่นอนของมาตรการกีดกันทางการค้า ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ และความเสี่ยงจากแนวโน้มวัฎจักรขาลงของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของตลาดทุน อันเนื่องมาจากแนวโน้มการปรับฐานราคาหลักทรัพย์ของบริษัทเทคโนโลยี

3. ภาระหนี้สินภาคเอกชนที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง เป็นข้อจำกัดในการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ

สัดส่วนหนี้ครัวเรือนแม้จะลดลง แต่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่คุณภาพสินเชื่อครัวเรือน และสินเชื่อภาคธุรกิจ SMEs มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงด้านเครดิต

4. ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจ และการเงินโลก

5. บรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมือง ในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง ที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคธุรกิจที่อาจมีความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การชะลอการลงทุนใหม่ หรือขยายการผลิต นอกจากนี้ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่อาจจะส่งผลให้กระบวนการจัดทำงบประมาณมีความล่าช้า

ทั้งนี้ สภาพัฒน์ ได้นำเสนอประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2568 และปี 2569 ที่ควรให้ความสำคัญ ดังนี้

1. การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับการเบิกจ่ายงบลงทุน ภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายปี 2569 ไม่ต่ำกว่า 75% ของกรอบงบรายจ่ายลงทุน และเร่งรัดกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ปี 2570 เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยไม่ล่าช้า ควบคู่กับการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง เพื่อรองรับความเสี่ยงที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์สูง

2. เร่งรัดการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความปลอดภัยและการหลอกลวงนักท่องเที่ยว แก้ปัญหาอาชญากรรม และเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายข้ามชาติที่แฝงตัวกับภาคการท่องเที่ยว เร่งเจรจากับพันธมิตรสายการบิน เพื่อเพิ่มความถี่ของเที่ยวบิน และเปิดเส้นทางบินใหม่ รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง

3. การดูแลภาคเกษตร โดยให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ให้สามารถฟื้นตัวและมีความพร้อมสำหรับการเพาะปลูกในฤดูกาลเพาะปลูก ปี 2569/2570 ตลอดจนการเตรียมความพร้อมรองรับผลผลิตทางการเกษตรที่จะออกสู่ตลาดในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวที่มีปริมาณผลผลิตสูง และเร่งรัดโครงการสำคัญภายใต้แผนบริหารจัดการน้ำ เพื่อลดความเสียหายจากปัญหาภัยพิบัติ

4. การขับเคลื่อนภาคการส่งออก โดยให้ความสำคัญการลดต้นทุนการผลิตของภาคการผลิตและการส่งออก เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก การลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ โดยเร่งกระบวนการเจรจาที่จะนำไปสู่ข้อตกลงกับสหรัฐฯ รวมทั้งเร่งขยายตลาดใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยง และลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ

5. การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับการเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติ และการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2567-2569 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว รวมทั้งเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ

6. การแก้ไขปัญหาด้านการเข้าถึงสินเชื่อของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ได้แก่ การลดแรงกดดันจากสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในภาคครัวเรือน การให้ความช่วยเหลือทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่อง รวมทั้งเร่งดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืน

7. การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมือง ในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง เป็นประเด็นสำคัญมากที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งคนไทย และต่างประเทศ

"รัฐบาลต้องรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองให้มีความ Smooth ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่จะเกิดขึ้น ซึ่งหากรัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายทั้ง 7 ข้อได้อย่างจริงจังและชัดเจน โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้า สามารถไปต่อได้โดยดี" เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าว


แท็ก สภาพัฒน์   GDP  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ