เมื่อการฟอกเงินไม่ได้ผ่านธนาคารเพียงช่องทางเดียวอีกต่อไป แต่ตอนนี้ไหลผ่านเข้ามาใน "ตลาดทุน-กรมธรรม์ประกันภัย" อาชญากรรมทางการเงินไม่จำเป็นต้องอยู่ในโลกมืดอีกต่อไป แต่สามารถ "เข้าสู่ระบบ" ได้อย่างสง่างาม ผ่านช่องทางที่ถูกกฎหมายในโลกเศรษฐกิจ ได้แก่ ตลาดทุนและภาคประกันภัย
จากรายงานล่าสุดจาก FATF, Baker Tilly และ KYC360 รวมถึงกรณีสแกมเมอร์ข้ามชาติในกัมพูชา กำลังบอกเราว่า "เส้นทางฟอกเงิน" กำลังขยายจากการฝาก-ถอนเงินสด หรือ ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไปสู่การลงทุนในหุ้น กองทุน และกรมธรรม์ที่ซับซ้อนพอจะกลบเกลื่อนที่มาของเงินได้อย่างแนบเนียน
วันนี้ "เงินสกปรก" ไม่ต้องหลบเลี่ยงระบบการเงินอีกต่อไป แต่เลือกใช้ "ระบบการเงิน" เป็นเครื่องฟอกเงินเสียเอง โดยเฉพาะในตลาดที่กติกายังไม่เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ เช่น ตลาดทุนไทยและธุรกิจประกันภัย
คำถามคือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) พร้อมหรือยังสำหรับการฟอกเงินยุคใหม่ที่ผู้กระทำไม่ใช่แค่ "อาชญากร" แต่คือ "นักลงทุน"?
ตลาดทุนถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความโปร่งใสด้านข้อมูลในด้านราคา แต่ความโปร่งใสด้าน "ตัวตนผู้ลงทุน" กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผู้ฟอกเงินยุคใหม่ไม่จำเป็นต้องถือกระเป๋าเงินสด แต่ใช้เครื่องมือทางการเงินแทน เช่น หุ้นกู้ กองทุน หรืออนุพันธ์ เพื่อเปลี่ยนสถานะเงินจาก "รายได้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย" ให้กลายเป็น "กำไรจากการลงทุน"
หนึ่งในวิธีที่พบบ่อยคือ การปั่นหุ้นแบบ Pump & Dump - ผู้ฟอกเงินเปิดหลายบัญชีในชื่อของนอมินี ไล่ซื้อหุ้นเล็กที่สภาพคล่องต่ำเพื่อดันราคาให้ดูมี Story แล้วเทขายเข้าบัญชีเป้าหมายเพื่อสร้างภาพว่าทำกำไรจากการลงทุน เอกสารยืนยันจากโบรกเกอร์ช่วยสร้างหลักฐานทางภาษีที่ดูสะอาด แต่สิ่งที่ตรวจพบได้คือ รูปแบบการสั่งซื้อที่มีลักษณะ เช่น คำสั่งซื้อพร้อมกันหลายบัญชี ปริมาณเทขายเข้าบัญชีเดียว หรือการถือหุ้นไขว้กันในกลุ่มเดียวกัน
อีกรูปแบบหนึ่งคือ การแฝงตัวเป็นเจ้าหนี้หรือผู้ถือหุ้นซ่อนเร้น (Hidden Creditor/Shareholder) โดยใช้บริษัทในเครือปล่อยกู้หรือถือหุ้นแทน ผ่านโครงสร้างหลายชั้นในต่างประเทศ เช่น บริษัทนอมินี หรือ กองทรัสต์ (Trust Fund) เพื่อควบคุมกิจการโดยไม่เปิดเผยตนเอง เงินผิดกฎหมายจะถูกบันทึกเป็น "เงินลงทุน" หรือ "เงินกู้" ที่ผ่านการตรวจสอบบัญชีแล้วเรียบร้อย
นอกจากนี้ ยังมีการใช้กองทุนรวมและโบรกเกอร์เป็นทางผ่าน (Layering via intermediaries) ผ่านบัญชีรวม (Omnibus Account) หรือ บัญชีกองทุนรวม (Mutual Fund Account) ที่รวมคำสั่งนักลงทุนหลายรายไว้ในที่เดียว หมุนซื้อขายสินทรัพย์หลายชั้น หลายตลาด จนแทบไม่สามารถระบุตัวผู้ลงทุนที่แท้จริง (ultimate investor) ได้
มิติใหม่ของการฟอกเงินคือ สินทรัพย์ดิจิทัล ผู้ฟอกเงินสามารถแปลงเงินสดเป็นคริปโท ส่งต่อผ่านมิกเซอร์ (Mixer) หรือ DEX (Decentralized Exchange) เพื่อเบลอเส้นทางเงิน ก่อนเข้าสู่ตลาด STO (Security Token Offering) หรือโทเคนในต่างประเทศ แล้วแปลงกลับมาเป็นเงินสะอาดภายใต้ชื่อ "ผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล" ซึ่งถูกกฎหมายทุกประการ
ที่ซับซ้อนกว่านั้นคือ ธุรกรรมกองทุนทางเลือก (Alternative Funds) หรืออนุพันธ์นอกตลาด (Over-the-Counter Derivatives) ที่ทำกับ คู่สัญญาหลาย ๆ คน ทำซ้ำ ๆ เพื่อปิดบังความเชื่อมโยงของต้นทางเงิน เมื่อผลกำไรจากการลงทุนถูกส่งกลับประเทศ ก็กลายเป็น "เงินสะอาด" สมบูรณ์แบบ
สำหรับตลาดทุนไทย การขยับของ ก.ล.ต. ต้องเริ่มจาก "ตัวตน" เจ้าของเงิน เพราะตลาดที่ไม่รู้ว่าใครคือเจ้าของเงิน/ผู้ควบคุมเงิน คือสนามที่เหมาะที่สุดสำหรับผู้ฟอกเงิน
ก.ล.ต. ควรเชื่อมข้อมูลระหว่าง ทะเบียนผู้ถือหุ้นจริง (Beneficial Owner Registry) กับ ปปง., กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเปิดเผยผู้ถือผลประโยชน์สูงสุด (Ultimate Beneficial Owner) และผู้ควบคุมที่แท้จริง (Ultimate Controller) ของบริษัท โดยเฉพาะในกรณีหุ้นกู้เอกชน เงินกู้ผู้ถือหุ้น หรือโครงสร้างทุนข้ามประเทศ
ในมิติการกำกับ ก.ล.ต. ต้องเสริมระบบรู้จักลูกค้า (KYC - Know Your Customer), การตรวจสอบสถานะลูกค้าอย่างต่อเนื่อง (CDD - Customer Due Diligence) และ การตรวจสอบเชิงลึก (EDD - Enhanced Due Diligence) ในฝั่งตลาดทุน โดยเฉพาะธุรกรรมที่มีมูลค่าสูง นักลงทุนต่างชาติ หรือโครงสร้างซับซ้อน เช่น การเสนอขายหุ้นกู้แบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement of Bonds) กองทุนส่วนบุคคล และบัญชีรวม (Omnibus Accounts) ควบคู่กับการตรวจสอบ มาตรการคว่ำบาตร (Sanctions Screening) และ การคัดกรองบุคคลที่มีความเสี่ยงทางการเมือง (Politically Exposed Person) แบบ ข้ามระบบ (Cross-system) ระหว่างโบรกเกอร์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และตัวแทนการเงิน
และเหนือสิ่งอื่นใด ก.ล.ต.ต้องใช้เทคโนโลยีตรวจจับเชิงพฤติกรรม (Behavioral Surveillance) โดยใช้ AI และการวิเคราะห์กราฟข้อมูล (Graph Analytics) วิเคราะห์คำสั่งซื้อขาย กระแสเงิน และรูปแบบของบัญชีเพื่อหาความเชื่อมโยงของกลุ่มผู้เล่น สร้างระบบ "คะแนนความเสี่ยง" (Risk Scoring System) สำหรับพอร์ตโบรกเกอร์และกองทุน เพื่อระบุพฤติกรรมที่อาจเข้าข่าย การซื้อขายลวง (Wash Trade), การโอนเงินหรือหลักทรัพย์ข้ามบัญชี (Cross-account Flow) หรือ การซื้อขายร่วมกันอย่างมีแบบแผน (Coordinated Trading) ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของการฟอกเงินหรือการปั่นราคาหลักทรัพย์ในตลาดทุน
ภาพใหญ่ของการป้องกันคือการสร้าง National AML Data Lake เชื่อมข้อมูลระหว่าง ก.ล.ต.-ปปง.-ธปท.-ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ระบบสามารถตรวจจับธุรกรรมฟอกเงินข้ามภาคได้ทันเวลา พร้อมช่องทางอายัดทรัพย์สินต้องสงสัยภายใน 2472 ชั่วโมง
ในอดีต กรมธรรม์ประกันชีวิตและสะสมทรัพย์ถือเป็น "สินทรัพย์ปลอดภัย" ของคนชั้นกลางและนักลงทุน แต่ปัจจุบัน กลับกลายเป็นช่องทางฟอกเงินที่แนบเนียนที่สุด เพราะมีองค์ประกอบสำคัญ คือ มูลค่าเงินสด (cash value), สิทธิการยกเลิก (surrender), และช่องทางขอเงินคืนที่ดูถูกต้องตามกฎหมาย
Single Premium Policy คือกรณีคลาสสิกของการฟอกเงิน ซื้อกรมธรรม์เบี้ยก้อนใหญ่ในช่วงสั้น ๆ จากนั้นรีบยกเลิกเพื่อขอคืนเงินเข้าบัญชีตัวเองหรือบุคคลที่สาม เอกสารกรมธรรม์และสลิปเงินคืนช่วยสร้างภาพว่าเป็น "เงินคืนจากประกันชีวิต" ทั้งที่เป็นเงินสกปรกตั้งแต่ต้น
รูปแบบอื่น ๆ เช่น Investment-Linked / Unit-Linked Policy (ILP/UL) ที่ใช้กระเป๋ากองทุนลงทุนในกรมธรรม์ หมุนสับเปลี่ยนกองทุนบ่อย เติมเบี้ยและถอนคืนในช่วงเวลาสั้น ๆ ให้ดูเหมือนกำไรจากการลงทุน หรือ การโอนสิทธิ์กรมธรรม์และเปลี่ยนผู้รับผลประโยชน์ซ้ำ ๆ เพื่อย้ายเงินข้ามพรมแดนโดยไม่ถูกตรวจสอบ เพราะชื่อผู้รับผลประโยชน์ในระบบถูกเปลี่ยนอย่างถูกต้องตามเอกสาร
นอกจากนี้ ยังมี Top-Up Premium / Overfunding ที่เติมเบี้ยสูงผิดปกติภายหลังจากผ่าน KYC แล้ว เพื่อฝากเงินเข้าระบบอย่างแนบเนียน และ Policy Loan ที่ใช้กรมธรรม์เป็นหลักประกันกู้เงินจากธนาคาร เงินที่ออกมาจึงดูเหมือน "เงินกู้ถูกกฎหมาย" ทั้งที่คือเงินฟอกผ่านกรมธรรม์
ช่องโหว่หลักอยู่ที่ระบบกำกับ ได้แก่ การทำ KYC/e-KYC ที่เน้นเอกสารมากกว่าการยืนยันแหล่งที่มาของทรัพย์ ขาดการตรวจสอบต่อเนื่องสม่ำเสอ และการรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัยที่ยังพึ่งพาธนาคารเป็นศูนย์กลางเพียงอย่างเดียว ในขณะที่บริษัทประกันและนายหน้ายังไม่สามารถส่งสัญญาณเตือนตรงไปยัง ปปง. ได้
คปภ. จำเป็นต้องปรับระบบกำกับดูแลจากแบบตอบสนองภายหลังเหตุการณ์ให้กลายเป็นแบบเชิงรุกมากขึ้น ให้สามารถเห็นและติดตามการเคลื่อนไหวของเงินได้อย่างแท้จริง ในระดับลูกค้ากรมธรรม์มูลค่าสูงหรือมีผู้เอาประกันเป็นชาวต่างชาติ คปภ. ควรกำหนด e-KYC ที่มีฟังก์ชันการตรวจสอบความมีอยู่จริงของบุคคล และการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร พร้อมบังคับใช้การตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินและทรัพย์สิน โดยอ้างอิงหลักฐานทางบัญชี รายได้ หรืองบการเงินจริง
ในระดับระบบ คปภ. ควรใช้ AI และ Graph Analytics วิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างลูกค้า ตัวแทน นายหน้า และบัญชีธนาคาร เพื่อระบุเครือข่ายฟอกเงินแบบกลุ่ม รวมถึงตั้งเกณฑ์เหตุการณ์กระตุ้นการรายงาน (event triggers) สำหรับรายงานธุรกรรมต้องสงสัย เช่น การยกเลิกกรมธรรม์เร็วเกินไป การเติมเบี้ยสูงผิดปกติ การเปลี่ยนผู้รับผลประโยชน์ถี่ และการกู้จากกรมธรรม์ในสัดส่วนเกิน 7080% ของมูลค่าเงินสด
คปภ. ควรเปิดทางให้บริษัทประกันภัยและนายหน้าสามารถส่งรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัยตรงถึง ปปง. และเชื่อมโยงข้อมูลกับธนาคารและเครดิตบูโร เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความเสี่ยงในระดับอุตสาหกรรม พร้อมสร้าง "แบบฟอร์มควบคุมการป้องกันการฟอกเงิน" (AML Control Sheet) สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันใหม่ที่ต้องผ่านการตรวจสอบด้วยมุมมองการฟอกเงินก่อนอนุมัติออกสู่ตลาด
จากการกำกับแบบแยกส่วน สู่การกำกับแบบ Ecosystem ยุคนี้อาชญากรรมทางการเงินไม่ได้อยู่ในตรอกมืด แต่อยู่ในรายงานงบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว "การฟอกเงินยุคใหม่" ไม่ซับซ้อนเพราะเทคโนโลยี แต่ซับซ้อนเพราะ "ระบบกำกับ" ยังแยกกันทำงาน
หากตลาดทุนและภาคประกันภัยคือเส้นเลือดของระบบเศรษฐกิจ การป้องกันการฟอกเงินคือภูมิคุ้มกันของประเทศ กลต. และ คปภ. จึงต้องเดินหน้าในทิศทางเดียวกัน เช่น เปิดเผยตัวจริงของผู้ควบคุมเงินและกิจการ ใช้เทคโนโลยีจับพฤติกรรมเงินต้องสงสัย และสร้างฐานข้อมูลกลางที่หน่วยงานกำกับใช้ร่วมกันได้จริง เพราะในโลกที่เงินไหลเร็วกว่ากฎระเบียบ ผู้ที่ "ขยับก่อน" เท่านั้น ที่จะปกป้องระบบการเงินและความเชื่อมั่นของประเทศไว้ได้
ดุษดี ดุษฎีพาณิชย์
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้า การลงทุน และอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ