น.ส.ลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการขอผ่อนผันให้บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (แก่งคอย) จำกัด ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ 1 บี 1 เอเอ็ม และ 1 บีเอ็ม ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าทับกวาง และป่ามวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เพื่อการทำเหมืองแร่หินปูนและหินดินดานสำหรับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ในพื้นที่รวมประมาณ 2,575 ไร่ 1 งาน 37 ตารางวา
พื้นที่ดังกล่าวเป็นเหมืองเดิมที่มีการทำเหมืองมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วตามประทานบัตรเดิมที่จะครบกำหนดอายุในวันที่ 26 ก.ย.70 โดยแหล่งแร่นี้เป็นวัตถุดิบหลักป้อนโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในจังหวัดสระบุรี ซึ่งมีกำลังการผลิตคิดเป็นสัดส่วน 12.14% ของบริษัทผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่จดทะเบียนในประเทศทั้งหมด ปริมาณสำรองแร่ของโครงการรวมทั้งหินปูนและหินดินดานมีมูลค่าประมาณ 75,702 ล้านบาท ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสังคม เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้กรอบมาตรการที่กำหนด
ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวมีคำขอประทานบัตรทั้ง 5 แปลงอยู่ในเขตป่าสงวนและลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 บี ตามมติ ครม.ที่ผ่านมา การใช้ประโยชน์จึงต้องเสนอให้ ครม.พิจารณาผ่อนผันเป็นกรณีเฉพาะ โดยก่อนเสนอ ครม. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กรมป่าไม้ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมตรวจสอบพื้นที่ พร้อมทั้งจัดทำและพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบแล้ว
โดยรายงาน EIA ได้กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม เช่น การเว้นแนวกันชน (Buffer Zone) รอบพื้นที่เหมือง การควบคุมฝุ่น เสียง แรงสั่นสะเทือน การติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมถึงการจัดตั้งกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพประชาชนและกองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบเหมือง โดยมีผู้แทนชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่นร่วมบริหารจัดการกองทุนอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ ต่างไม่มีความเห็นขัดข้องต่อการขอผ่อนผันครั้งนี้ โดยยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ ฉบับที่ 2 ที่ ครม.เคยเห็นชอบแล้ว
การพิจารณาในครั้งนี้เป็นเพียงการผ่อนผันให้ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ 1 บี 1 เอเอ็ม และ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ ตามหลักเกณฑ์มติ ครม.เดิมเท่านั้น หลังจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย แผนแม่บท และมาตรการสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ก่อนการอนุญาตประทานบัตรต่อไป