เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2568 การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOU) "โครงการศึกษาการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม เพื่อรองรับ Green Transition สู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่" เพื่อช่วยยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรม ทั้งในด้านการบริหารจัดการพลังงานสะอาดให้แก่ผู้ประกอบการ การบริหารจัดการขยะอย่างครบวงจร
นอกจากนี้ กนอ. ยังมีแนวคิด "I-EA-T Next Move: Fast & Furious" ที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาดและระบบไฟฟ้าที่มั่นคง เพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นิคมอุตสาหกรรมจะถูก "พัฒนา" ให้มีศักยภาพในการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดที่หลากหลาย และมีระบบไฟฟ้าที่มั่นคงมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เรียกได้ว่านอกจากไฟฟ้าจะต้องสะอาดแล้วยังจะต้องมีความมั่นคงแน่นอนอีกด้วย
นิคมอุตสาหกรรมของ กนอ. นั้นประกอบด้วยระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบวงจรซึ่งรวมถึงระบบไฟฟ้า ผู้ประกอบอุตสาหกรรมสามารถซื้อไฟฟ้าจาก กนอ. ได้
คำถามคือไฟฟ้าที่ กนอ.จะนำมาจำหน่ายนั้นจะเป็นไฟฟ้าที่ผลิตจากทรัพยากรพลังงานหมุนเวียนได้หรือไม่ กนอ. จะทำอย่างไรให้ไฟฟ้าที่จะถูกจำหน่ายผ่านระบบไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมนั้นเป็นพลังงานสะอาด กนอ. อาจขยายการให้บริการแท่นอัดประจุไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าสะอาดแก่ยานยนต์ไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายคือจะ "หาไฟฟ้าสะอาด" เหล่านี้ได้อย่างไร? หาก กนอ. จัดหาไฟฟ้าสะอาดมาได้คำถามถัดไปคือจะจ่ายไฟฟ้าสะอาดเหล่านี้ผ่านระบบใด ?
กนอ. อาจก่อสร้างและใช้งานระบบจำหน่ายไฟฟ้า "ของตัวเอง" และสามารถพัฒนาให้มีระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) โดยมีระบบสื่อสารสารสนเทศ (ICT) ทำหน้าที่ประมวลผลให้กับระบบควบคุมวิเคราะห์และสั่งการให้เกิดการผลิตและส่งจ่ายไฟฟ้าแบบอัตโนมัติเพื่อช่วยรักษาสมดุลระหว่างกำลังผลิตและความต้องการใช้ไฟฟ้า ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ได้อย่างทันท่วงทีและอย่างประหยัด รวมถึงเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจัดหาพลังงานในช่วงที่ความต้องการใช้ไฟฟ้ามีค่าสูง
นอกจากนี้ กนอ. ยังอาจพัฒนาให้มีระบบ Smart Metering สำหรับระบบสาธารณูปโภคส่วนกลาง ในทางเทคนิคแล้ว Smart Metering เป็นการอ่านค่าพลังงานไฟฟ้าที่ถูกใช้ไปด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์และส่งข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลไปที่ระบบควบคุม (Control System) มาตรอัจฉริยะสามารถติดต่อสื่อสารโดยตรงกับระบบควบคุมได้บ่อยเท่าที่ต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องส่งพนักงานมาเพื่ออ่านค่าหน่วยไฟฟ้าเดือนละครั้งแบบปัจจุบัน ดังนั้นผู้ขายไฟฟ้าและผู้ใช้ไฟฟ้าจะสามารถอ่าน หรือคำนวณค่าใช้จ่ายของการใช้พลังงานได้เสมอ
หาก กนอ. ประสงค์จะ "ลงทุน ลงมือ และประกอบกิจการ" เพื่อพัฒนาระบบพลังงานสะอาดสำหรับนิคมอุตสาหกรรมโดยตรง กนอ. สามารถอาศัยมาตรา 6(2) และ (3/2) แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 ในการจัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นในการดำเนินงานและการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพเพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมได้
การร่วมหุ้นกับเอกชนนั้นจะเปิดโอกาสให้ฝั่งเอกชนนำเอาทรัพยากรและความเชี่ยวชาญที่จำเป็นมาเพื่อพัฒนาระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ระบบจำหน่ายไฟฟ้า ระบบ Smart Grid และระบบ Smart Metering และสนับสนุนการให้บริการพลังงานผ่านระบบเหล่านี้ในฐานะที่เป็นทรัพย์สินของบริษัทที่ถูกจัดตั้งขึ้นนี้
หาก กนอ. ถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 บริษัทนี้จะกลายเป็นรัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 (ตามมาตรา 4 "รัฐวิสาหกิจ" หมายความรวมถึงบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่รัฐวิสาหกิจซึ่งมีกฎหมายจัดตั้งมีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละ 50) แต่หาก กนอ. ถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 25 แต่ไม่เกินร้อยละ 50 บริษัทพลังงานสะอาดนี้จะไม่เป็นรัฐวิสาหกิจแต่เป็น "บริษัทในเครือ" ของรัฐวิสาหกิจ
ในความเห็นของผู้เขียน การพัฒนาให้นิคมอุตสาหกรรมนั้นมีศักยภาพในการจัดหาและสร้างประสิทธิภาพในการใช้พลังงานโดย กนอ. หรือ บริษัทที่ กนอ. มีส่วนเป็นเจ้าของนั้นมีลักษณะเป็นการประกอบกิจการที่มีความจำเป็นในการจัดให้มีสาธารณูปโภคหรือการจัดทำบริการสาธารณะในยุคของการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ดังนั้น การประกอบกิจการนี้จึงสอดคล้องกับมาตรา 75 วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
เมื่อบริษัทนี้จะ "ลงมือ" ประกอบกิจการผลิต จัดหา สร้างและใช้งานระบบ Smart Grid และ Smart Meter แล้ว บริษัทพลังงานสะอาดย่อมกำลังจะลงมือประกอบกิจการไฟฟ้าและตกอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ซึ่งได้ให้นิยามของ "กิจการไฟฟ้า" เอาไว้ว่า "การผลิต การจัดให้ได้มา การจัดส่ง การจำหน่ายไฟฟ้า หรือการควบคุมระบบไฟฟ้า" และจะต้องขอรับใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ตามมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ต่อไป
ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตในเบื้องต้นว่า ประเภทของระบบใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงานในปัจจุบันยังอาจไม่ได้มีใบอนุญาต Smart Grid และ Smart Meter โดยเฉพาะ อีกทั้งหากบริษัทจะคิดค่าบริการระบบพลังงานสะอาดในนิคมอุตสาหกรรมนั้นยังอาจถือเป็นการเรียกเก็บ "ค่าบริการในการประกอบกิจการพลังงาน" ซึ่ง กกพ. มีหน้าที่กำกับดูแลต่อไป
หากผู้ประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมประสงค์จะใช้ไฟฟ้าในปริมาณมากโดยต้องเป็นการจ่ายไฟฟ้าที่มีความแน่นอนไม่หยุดชะงัก (เช่น หากมี Data Center มาตั้งในนิคม) การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าเฉพาะในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมนั้นอาจไม่เพียงพอ บริษัทพลังงานสะอาดของ กนอ. อาจจำเป็นที่จะต้องก่อสร้างและใช้งาน Solar Farm หรือ Floating Solar ในพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไปจากตัวนิคม เรียกได้ว่าไปตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงอาทิตย์และมีต้นทุนที่ดินต่ำกว่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเอง
การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้านอกพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมนี้จะเรียกได้ว่าเป็น "Offsite PPA Project" กล่าวคือ เป็นกรณีที่บริษัทนั้นประกอบกิจการผลิตไฟฟ้านอกพื้นที่นิคม ส่งไฟฟ้าสะอาดดังกล่าวจากนอกตัวนิคมเข้ามาในนิคม เพื่อขายไฟฟ้าให้กับผู้ประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมที่รับเอาหน่วยไฟฟ้าดังกล่าวมาใช้ในการประกอบกิจการตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550
การส่งไฟฟ้าจากนอกพื้นที่นิคมนั้นย่อมจำเป็นต้องอาศัยระบบการขนส่งไฟฟ้า เช่น ต้องมีการก่อสร้างระบบโครงข่ายจากนอกพื้นที่นิคมให้เชื่อมต่อกับระบบจำหน่ายของนิคมอุตสาหกรรม กรณีนี้ บริษัทอาจขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการระบบจำหน่ายไฟฟ้าจาก กกพ. ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ซึ่งได้นิยาม "ระบบจำหน่ายไฟฟ้า" ให้หมายความเป็น "ระบบการนำไฟฟ้าจากระบบส่งไฟฟ้า หรือระบบผลิตไฟฟ้าไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าซึ่งไม่ใช่ผู้รับใบอนุญาต และให้หมายความรวมถึงศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าที่ใช้ในการควบคุมระบบจำหน่ายไฟฟ้านั้นด้วย"
หากมีการก่อสร้างและใช้งานระบบจำหน่ายไฟฟ้าสะอาดนี้โดยเฉพาะแล้ว อิเล็กตรอนไฟฟ้าที่ถูกส่งและขายให้กับผู้ประกอบอุตสาหกรรมย่อมเป็นหน่วยไฟฟ้าสะอาดซึ่งระบบ Smart Grid และ Smart Meter จะช่วยวัดปริมาณการใช้ไฟฟ้าสะอาดเหล่านี้ได้
ในทางเทคนิค Smart Grid มีศักยภาพรองรับการติดตามและจัดการพลังงานไฟฟ้าที่มาจากแหล่งผลิตพลังงานหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถเก็บข้อมูลการไหลของพลังงานและสถานะระบบไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ผ่านระบบสื่อสารข้อมูลสองทางและระบบควบคุมดิจิทัล องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่าเทคโนโลยี Smart Grid ช่วยให้โครงข่ายไฟฟ้าสามารถผนวกรวมและบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน (Variable Renewable Energy) ได้ดียิ่งขึ้น โดยอาศัยการวัดข้อมูลโหลดและการผลิตที่แม่นยำ (IEA, Smart Grids, 2023)
นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปได้อธิบายว่า Smart Grid ช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นการไหลของพลังงาน (Grid Visibility) และสนับสนุนระบบที่มีการแยกสายส่งหรือระบบจำหน่ายเฉพาะสำหรับพลังงานหมุนเวียน (European Commission, Smart Grids and Meters, 2022) ดังนั้น เมื่อมีการออกแบบระบบให้มีสายส่งหรือสายจำหน่ายไฟฟ้าที่แยกเฉพาะเส้นทางหนึ่งไว้สำหรับส่งไฟฟ้าโดยไม่ปะปนกับโครงข่ายทั่วไป (Dedicated Feeder) สำหรับไฟฟ้าสะอาด Smart Grid จะสามารถใช้เป็นกลไกทางเทคนิคเพื่อสนับสนุนการตรวจสอบว่าปริมาณไฟฟ้าที่จ่ายเข้าสู่นิคมอุตสาหกรรมมาจากแหล่งพลังงานสะอาดตามที่กำหนดจริง
ส่วน Smart Meter สามารถวัดปริมาณการใช้ไฟฟ้าเป็นรายช่วงเวลา และส่งข้อมูลกลับไปยังผู้ให้บริการผ่านระบบ Advanced Metering Infrastructure (AMI) ซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ (US DOE) ระบุว่า AMI ประกอบด้วย Smart Meters, ระบบสื่อสารข้อมูล และระบบจัดการข้อมูล ซึ่งทำให้สามารถบันทึกและแยกข้อมูลตามเส้นทางหรือช่องสัญญาณที่มีการกำหนดไว้ได้ (US DOE, Advanced Metering Infrastructure, 2022)
ทั้งนี้ งานวิเคราะห์ของ IRENA ยืนยันว่าข้อมูลการวัดแบบดิจิทัลเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบติดตามคุณลักษณะพลังงาน (Energy Attribute Tracking) เช่น Renewable Energy Certificates (RECs) และช่วยยืนยันแหล่งที่มาของพลังงานได้อย่างโปร่งใส (IRENA, Renewable Energy Certificates and Attribute Tracking, 2020) ดังนั้น หากมีการติดตั้ง Smart Meter แยกสำหรับระบบจำหน่ายไฟฟ้าสะอาด ข้อมูลจากมิเตอร์ดังกล่าวสามารถนำมาใช้ยืนยันปริมาณไฟฟ้าสะอาดที่ผู้ประกอบการใช้จริงได้อย่างเชื่อถือได้
ทั้งนี้ การผลิต ส่ง และขายไฟฟ้าจากนอกพื้นนี้ในรูปแบบนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็น "โครงการที่อยู่ในพื้นที่เฉพาะบางส่วน" ตามหลักเกณฑ์การอนุญาตสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองและ/หรือจ้างผู้อื่นผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในกิจการตนเอง (Independent Power Supply: IPS) ที่สำนักงาน กกพ. ได้ประกาศรับฟังความคิดเห็นในช่วงวันที่ 26 พฤษภาคม ถึง 10 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งระบุเอาไว้ว่ากรณีที่ "โรงไฟฟ้าอยู่นอกพื้นที่นิคมฯ" เพื่อจำหน่ายให้แก่ "ผู้ใช้ไฟฟ้าที่อยู่ในนิคมฯ" สามารถดำเนินการได้
ในกรณีที่ บริษัทพลังงานสะอาดของ กนอ.นั้นต้องผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ที่ห่างออกไปจากนิคมอย่างมากและไม่อาจก่อสร้างสายจำหน่ายเพื่อนำเอาอิเล็กตรอนไฟฟ้าจากจุดของการผลิตมายังนิคมอุตสาหกรรม หรือหากจะต้องก่อสร้างแล้วจะเป็นการลงทุนที่สูงมากทำให้ค่าบริการสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแล้ว บริษัทจะสามารถขอใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็น กฟผ. กฟน. หรือ กฟภ. ได้หรือไม่ ?
ตามมาตรา 81 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ผู้รับใบอนุญาตที่มีระบบโครงข่ายพลังงานต้องยินยอมให้ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้ประกอบกิจการพลังงานรายอื่นใช้หรือเชื่อมต่อระบบโครงข่ายพลังงานของตน ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดที่ผู้รับใบอนุญาตที่มีระบบโครงข่ายพลังงานประกาศกำหนด ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นระบบ "Third-Party Access (TPA)" ดังนั้นแล้ว บริษัทพลังงานสะอาดของ กนอ. ย่อมมีสิทธิที่จะขอใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าได้
ตามร่างข้อกำหนดการเปิดใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access Code) ที่สำนักงาน กกพ. ประกาศรับฟังความคิดเห็นระหว่างวันที่ 3 ตุลาคม ถึง 10 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมานั้นกำหนดเอาไว้ว่า "ข้อกำหนด TPA Code ฉบับนี้ สำหรับการเปิดให้ใช้และเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าของ กฟผ. กฟภ. และ กฟน. เพื่อบริการส่งผ่านพลังงานหรือหน่วยไฟฟ้ารวมถึงบริการเสริมความมั่นคงให้แก่บุคคลที่สาม" ซึ่งบริษัทพลังงานสะอาดของ กนอ. นั้นสามารถขอรับการจัดสรรศักยภาพในการให้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าตามสัญญาการใช้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าได้
ทั้งนี้ บริษัทพลังงานสะอาดของ กนอ.จะต้องเสียค่าบริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้า ซึ่งตามร่างข้อกำหนด TPA Code นั้น การพิจารณาอัตราค่าบริการ เป็นไปตามหลักการสะท้อนถึงต้นทุนที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้าในภาพรวมทั่วประเทศ ซึ่งบริษัทจะต้องคำนึงถึงการจ่ายค่าบริการระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า (Wheeling Charge) ซึ่งประกอบด้วยค่าบริการระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า (Wheeling Charge), ค่าบริการความมั่นคงระบบไฟฟ้า (System Security Charge), ค่าบริการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Connection Charge) และค่าบริการหรือค่าปรับในการปรับสมดุลหรือบริหารปริมาณไฟฟ้า (Imbalance Charge (โปรดดู ข้อ 7.7 ของร่างข้อกำหนด TPA Code)
กรณีนี้ มีความเป็นไปได้ที่อิเล็กตรอนไฟฟ้าสะอาดที่บริษัทผลิตจะถูกจ่ายเข้าในระบบโครงข่ายของการไฟฟ้าจึงย่อมเกิดคำถามขึ้นได้ว่าผู้ประกอบอุตสาหกรรมจะสามารถอ้างว่าตนใช้ไฟฟ้าสะอาดได้หรือไม่เพียงใด ? ในประเด็นนี้ บริษัทพลังงานสะอาดของ กนอ. จะต้องส่งมอบใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate หรือ "REC") ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งรับบริการจากระบบจำหน่ายไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม
ตามประกาศ กกพ. เรื่อง หลักเกณฑ์การให้บริการและการกำหนดอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff) พ.ศ. 2566 นั้น "อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว" หมายความว่า ราคาไฟฟ้าสีเขียวต่อหน่วย ค่าตอบแทน หรือเงื่อนไขสำหรับการให้บริการไฟฟ้าสีเขียว รวมถึงค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่ผู้มีหน้าที่เรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งบริษัทพลังงานสะอาดของ กนอ. อาจเรียกเก็บในฐานะอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวแบบเจาะจงแหล่งที่มา ซึ่งเป็นการให้บริการพลังงานไฟฟ้าและ REC จากแหล่งเดียวกัน โดยที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเจาะจงแหล่งที่มาของไฟฟ้าในการขอรับบริการจากบริษัทพลังงานสะอาดของ กนอ.
โดยสรุปแล้ว กนอ. สามารถจัดตั้ง "บริษัทพลังงานสะอาด" ของ กนอ. ขึ้นโดยเอาร่วมหุ้นกับเอกชนที่มีศักยภาพและความเชี่ยวชาญที่จำเป็นมาเพื่อพัฒนาระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ระบบจำหน่ายไฟฟ้า ระบบ Smart Grid และระบบ Smart Metering บริษัทนี้ สามารถลงมือประกอบกิจการผลิต จัดหา สร้างและใช้งานระบบ Smart Grid และ Smart Meter ได้โดยสามารถสร้างระบบผลิตทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม สามารถวางระบบจำหน่ายจากพื้นที่ผลิตภายนอก และขอใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าเพื่อส่งผ่านไฟฟ้ามายังผู้ประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมได้
ผศ.ดร.ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ ผู้อำนวยการหลักสูตร LL.M. (Business Law)
หลักสูตรนานาชาติ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย