นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวเปิดงาน FTI Outlook 2026 "DECODING THAILAND'S INDUSTRY FOR THE UPCOMING FUTURE: ถอดรหัสอุตสาหกรรมไทย อ่านเกมอนาคต" โดยระบุว่า ในปีนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลก จะขยายตัวได้ 3.2% และมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงในปีหน้า ทั้งนี้ หากมองย้อนไปในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าเศรษฐกิจโลก เติบโตได้เฉลี่ยปีละ 3.7% แต่ในระยะหลังนี้ เศรษฐกิจโลกเติบโตได้ช้า และมีการฟื้นตัวที่ช้า

สำหรับประเทศไทยนั้น เศรษฐกิจยังมีปัญหาในเชิงโครงสร้าง ซึ่งต้องได้รับความเอาใจใส่อย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหา เพราะหากไม่เร่งแก้ไขที่ปัญหาในเชิงโครงสร้างก่อนแล้ว การจะแก้ในเรื่องอื่นคงจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร
นอกจากนี้ IMF ยังมองว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ก่อนหน้านี้ เคยอยู่ในลำดับที่ 2 ของอาเซียน แต่ระยะหลังมานี้ เศรษฐกิจไทยโตได้เฉลี่ยเพียงปีละ 2% เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังถูกท้าทายจากประเทศเพื่อนบ้าน โดย IMF มองว่าหากในอีก 5 ปีข้างหน้า ประเทศไทยยังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคมผู้สูงอายุ, กับดักรายได้, การเป็นประเทศที่รับจ้างผลิตสินค้า (OEM), ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา ตลอดจนปัญหาในการเข้าถึงเทคโนโลยี ก็อาจจะทำให้ประเทศไทยตกชั้นจากที่เคยอยู่ในอันดับ 2 ลงไปอยู่ในอันดับ 5 ของอาเซียนได้

ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า จากที่สภาพัฒน์ได้ประกาศ GDP ไตรมาส 3/68 ของไทย ที่ขยายตัวเพียง 1.2% นั้น ถือว่าออกมาต่ำกว่าที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ประเมินไว้เป็นอย่างมาก เพราะ กกร.เคยคาดไว้ที่ 1.5-1.7%
แต่จากที่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง มีนโยบายการทำงานที่ใกล้ชิดกับภาคเอกชน และนำโจทย์ของภาคเอกชนไปหารืออย่างใกล้ชิด โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยต้องไม่ติดหล่ม และพลิกฟื้นขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาการทำงานที่จำกัดของรัฐบาล จึงนำมาสู่นโยบาย Quick Big Win ที่รัฐบาลได้พยายามออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกสัปดาห์ โดยมุ่งหวังให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ไม่ติดหล่มลงไปอีก และสามารถเทคออฟขึ้นได้ในปีต่อไป
"สิ่งที่เอกชนตั้งความหวังไว้นั้น ภายใต้การขับเคลื่อนประเทศ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กลไก Reinvent Thailand ซึ่งมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสร้างพลวัตรใหม่ สู่การเติบโตที่ยั่งยืน เราต้องให้ความสำคัญในเรื่อง Reinvent Thailand อย่างจริงจัง ซึ่งจะเป็นการถอดรหัสที่จะเห็นความสำเร็จ ไม่ใช่มองแต่อุปสรรค เพราะทุกอุปสรรค มีโอกาสอยู่ในนั้น หากเรารวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียว เชื่อว่าเราจะสามารถนำพาเศรษฐกิจไทยพ้นช่วงเลวร้าย ไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนได้" ประธาน ส.อ.ท. ระบุอย่างไรก็ดี ในปีนี้ กกร. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทย จะขยายตัวได้ 1.8-2.2% และปรับคาดการณ์การส่งออก เพิ่มขึ้นเป็น 9.5-10.5% ซึ่งเป็นผลจากการเร่งส่งออกเพื่อเลี่ยงผลกระทบก่อนที่สหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ในขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั้งปี จะอยู่ที่ -0.1 ถึง 0.1%
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "นโยบายใหม่ สู่การพลิกโฉมเศรษฐกิจไทย" โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน เผชิญผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลก ปัญหาภาษีสหรัฐฯ และปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ อีกทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยเอง ที่พึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่สูง ดังนั้นเศรษฐกิจไทยจึงได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่นที่ไม่ได้พึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่สูง
ล่าสุด สภาพัฒน์รายงานตัวเลข GDP ของไทยช่วงไตรมาส 3/68 ขยายตัวได้เพียง 1.2% ในขณะที่ครึ่งปีแรกขยายตัวได้ 3% ซึ่ง GDP ไตรมาส 3 นี้เป็นไปตามที่ได้เคยคาดการณ์ไว้ว่าตัวเลขจะดิ่งลงมา ซึ่งหากรัฐบาลไม่ทำอะไรเลย จะทำให้เศรษฐกิจไตรมาส 4 อาจขยายตัวได้เพียง 0.3% เท่านั้น
"ถ้ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลย เศรษฐกิจไตรมาส 4 จะโตได้แค่ 0.3% หรือติดหล่ม ซึ่งน่ากลัวมาก ถ้าไม่ทำอะไรเลย และปล่อยไว้แบบนี้ มันจะตกเหว" นายเอกนิติ กล่าวพร้อมมองว่า เศรษฐกิจไทยในยุคก่อนปี 2540 มีงบลงทุนในสัดส่วนสูงถึง 40% ของจีดีพี มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ไว้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นนิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือ สาธารณูปโภคต่าง ๆ ทำให้หลายประเทศย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทยกันค่อนข้างมาก แต่มาในระยะหลัง งบลงทุนลดลงเหลือเพียง 20% ของจีดีพี ซึ่งหายไปถึงครึ่งหนึ่ง ไม่เห็นการลงทุนขนาดใหญ่ในประเทศ ดังนั้นสภาพเศรษฐกิจของประเทศที่ติดหล่มอยู่ในวันนี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องตกใจ เพราะถ้าเราเข้าใจจริง ๆ จะรู้ว่าเป็นผลมาจากที่ประเทศไทยไม่ได้มีการลงทุนขนาดใหญ่ใดๆ เลยในระยะหลังที่ผ่านมา
"มันคือกรรมเก่า ที่เราไม่สร้างบุญใหม่ไว้เลย เราเก็บบุญเก่ามาตลอด แล้วก็ทำกรรมไว้เรื่อย ๆ ไม่ได้ลงทุนอะไรเลย แล้ววันนี้ก็มาเจอสภาพนี้ ที่เศรษฐกิจไทยโตแค่ 1.2% ดิ่งเหวลงมา ผมถึงบอกว่า ถ้าเราไม่ทำอะไร จะยิ่งแย่ จะยิ่งหนัก สภาพส่งออกที่เราเจอ กำลังแรงงานน้อย หนี้ครัวเรือนสูง SMEs ไม่มีสภาพคล่อง" นายเอกนิติ กล่าวดังนั้น การที่รัฐบาลมีนโยบาย Quick Big Win เพราะมีเวลาการทำงานที่จำกัด งบประมาณจำกัด จึงต้องทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ได้ผลในระยะยาว และมีการกระจายตัว ซึ่งตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้นั้น ในส่วนของเสาหลักที่ 1 เรื่องการฟื้นเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ทำครบถ้วนแล้ว อาทิ โครงการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, โครงการคนละครึ่ง พลัส และโครงการเที่ยวดีมีคืน โดยใช้งบประมารเดิม ไม่ได้มีการก่อหนี้ใหม่แต่อย่างใด
รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าวว่า การจะพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยได้ ต้องเปลี่ยนผ่านใน 3 ส่วนสำคัญ คือ 1.People 2.Process และ 3.Technology
ในส่วนของ People รัฐบาลได้ใช้แนวทางการ Upskill Reskill ให้กับบรรดาพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส เพื่อให้สามารถขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้า-บริการ จากเพียงแค่ร้านค้าที่มีหน้าร้าน (ออฟไลน์) มาสู่ร้านค้าออนไลน์ได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น และช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าได้ปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้
ส่วนในเรื่อง Process นั้น รัฐบาลเตรียมทำมาตรการ "Fast Pass" โดยเป็นการเร่งแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบ และขั้นตอนต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน เพื่อต้องการผลักดันเม็ดเงินลงทุนให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างเร่งด่วน เป็นการปลดล็อกให้โครงการที่ได้รับบัตรส่งเสริมลงทุนจากบีโอไอแล้ว แต่ยังได้เริ่มลงทุนจริง สามารถเริ่มลงทุนได้ เพราะได้รับการแก้ไขปัญหาอุปสรรคจากการลดอุปสรรคขั้นตอนต่าง ๆ ลง ทำให้การลงทุนไหลลื่นขึ้น โดยคาดว่าจะทำให้เห็นเม็ดเงินที่พร้อมจะเริ่มลงทุนได้ทันทีในปีหน้า ราว 3 แสนล้านบาท ซึ่งจะเสนอมาตรการ "Fast Pass" เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ในสัปดาห์หน้า
สำหรับเรื่อง Technology นั้น ประเทศไทยขาดการลงทุนด้านเทคโนโลยีมานาน โครงการลงทุนที่มีอยู่เดิมอาจจะไม่ทันสมัย และไม่ตอบโจทย์กระแสของโลก เช่น ยังไม่มีเรื่องการลงทุนพลังงานสะอาด ซึ่งส่วนหนึ่งที่เป็นข้อจำกัดของการลงทุน คืองบประมาณที่จำกัด และยังมีข้อจำกัดในเรื่องเพดานหนี้สาธารณะ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีโครงการลงทุนในลักษณะที่เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน หรือ PPP เพื่อช่วยขยายศักยภาพในการลงทุนขนาดใหญ่ของประเทศ โดยอีกทางเลือกที่จะสามารถลงทุนโครงการขนาดใหญ่ได้ โดยไม่ต้องกังวลกับการกู้เงิน หรือการเพิ่มหนี้สาธารณะ นั่นคือ การใช้แนวทางเรื่องกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFF)
"ใน 4 เดือนทำให้ดู ทำจริง ๆ มีนโยบายออกมาทุกสัปดาห์ ทำให้เกิดขึ้นจริง กระตุกเศรษฐกิจไทย กระตุ้นสั้น ให้เกิดผลยาว สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ มันจะไม่เปลี่ยนแค่สั้น ๆ ไม่ได้จบแค่รัฐบาลนี้ แต่มันจะมีผลยาวไปถึงประเทศไทยในอนาคต ประเทศไทยปลดล็อคศักยภาพเศรษฐกิจ ที่คือแนวคิดที่จะวางรากไว้สำหรับ Thailand's Economic Transformation" นายเอกนิติ ระบุนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวในหัวข้อ "รู้รอบทิศ คิดรอบด้าน กับเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยในปี 2026" โดยระบุว่า โลกในปัจจุบันมีทั้งความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ทั้งจาก 1.Technology Disruption 2. Demographic Disruption โดยเฉพาะเรื่องสังคมผู้สูงวัย 3.Pandemic Disruption 4.Environmental Disruption 5.Education Disruption และ 6. Geo-Political Disruption
การมองบทบาทประเทศมหาอำนาจที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา และจีนนั้น แม้จะเต็มไปด้วยความสับสน และขัดแย้งในมุมมอง แต่ในโลกของความปั่นป่วนทางภูมิรัฐศาสตร์ การเมือง และเศรษฐกิจนั้น เป็นความสับสน และความขัดแย้งในมุมมองของความเป็นปกติใหม่ (New Normal) ที่เราต่างจะต้องทำความเข้าใจ
พร้อมมองว่า ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีความไม่แน่นอน คุณสมบัติของผู้นำจะต้องนำด้วยการวิเคราะห์ มีจินตนาการ มีความเห็นอกเห็นใจ และมีการตัดสินใจที่ดี และเมื่อโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้นำที่ดีจะต้องนำด้วยวิสัยทัศน์ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และเมื่อโลกแบ่งเป็นเสี่ยงเสี้ยว ผู้นำจะต้องมีความสัมพันธ์กับฝ่ายต่าง ๆ ให้ได้ เพราะขนาดจีนมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นที่ 2 ของโลก ยังต้องเรียนรู้การอยู่กับสหรัฐฯ