นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร กล่าวถึงกรณีที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 8.5% ในปี 2571 และเป็น 10% ในปี 2573 ว่า ไม่คัดค้าน เพียงแต่ให้ทบทวนการปรับขึ้นในแต่ละภาคธุรกิจ ซึ่งอาจมีผลกระทบกับค่าครองชีพของประชาชนภายในประเทศเป็นวงกว้าง และจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงได้ เช่น ภาคธุรกิจร้านอาหาร และสินค้าบริโภคจำพวกอาหาร เป็นต้น
ทั้งนี้ ในหลายประเทศเช่นในยุโรป หรือญี่ปุ่น รัฐบาลจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราที่แตกต่างกันไป เช่น ประเทศในยุโรปภาษีมูลค่าเพิ่มเฉลี่ยอยู่ที่ 20% แต่สำหรับร้านอาหาร และอาหาร จะอยู่ที่ 9-13% เพื่อไม่ให้กระทบการบริโภคของประชาชน และผู้ประกอบการ
นายสรเทพ กล่าวว่า โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งร้านอาหาร SMEs ที่อยู่ในระบบ จะไม่ค่อยมีภาษีมูลค่าเพิ่มขาซื้อ เพราะวัตถุดิบสินค้าการเกษตรและของสด จะไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น ร้านอาหารจะไม่มี VAT นำไปหักลบกับ VAT ขายได้เลย จึงทำให้ทุกวันนี้สภาวะการแบกต้นทุน ภาษีมูลค่าเพิ่มของธุรกิจร้านอาหารสูงมากอยู่แล้ว ซึ่งยังไม่รวมภาษีอื่น ๆ ในแต่ละปีอีก รวมถึงภาคการท่องเที่ยว เช่น โรงแรมที่พักในหลาย ประเทศ จะแยกอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยเช่นกัน เพราะเป็นการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวของประเทศ
"ดังนั้น จึงขอเสนอว่า หากจะปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ขึ้นเป็น 8.5-10% ในอนาคต ควรจะยืนอัตราเดิม 7% ไว้กับภาคธุรกิจร้านอาหาร และสินค้าอาหาร รวมถึงธุรกิจภาคการท่องเที่ยว โรงแรมที่พักด้วย ไม่เช่นนั้น ภาระภาษีที่ปรับขึ้น จะไปกระทบกับผู้บริโภคภายในประเทศ และนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการที่พัก โรงแรม ร้านอาหารเป็นอย่างมาก และสุดท้าย จะเกิดสภาวะเศรษฐกิจตึงเครียดตามมา และจะกระทบเป็นวงกว้างได้" นายสรเทพ กล่าว