NCB คาดโครงการล้างหนี้ต่ำแสน เฟสแรกช่วยลูกหนี้ได้ 1.6 ล้านราย-หนุนรัฐออกมาตรการช่วย SME ปลดหนี้

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 24, 2025 14:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) หรือเครดิตบูโร กล่าวในงานสัมมนา "ข้อมูลเครดิต พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2 ทศวรรษ" ว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยถือว่าผ่านวิกฤตมาหลายรอบ โดยวิกฤติที่หนักสุดมีอยู่ 2 รอบ คือ น้ำท่วมใหญ่ปี 54 และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้เกิดการก่อหนี้เพิ่มสูงขึ้นจนเป็นภาระหนี้ครัวเรือนสะสม ซึ่งเป็นสถานการณ์ของปัญหาที่ถูกทับถมต่อเนื่องกันโดยที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเต็มที่

"ปรากฎการณ์ Income shock หรือตกหลุมรายได้ในช่วงโควิด 3-4 ปีนั้น ดอกเบี้ยไม่ได้หายไปไหน และต้องไต่ภูเขาหนี้ คือ เงินต้น ดอกเบี้ย การผิดนัดชำระหนี้มาจนถึงวันนี้ ได้ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยจนเป็นปัญหาที่ภาครัฐต้องตัดสินใจแรง ๆ ในการจัดการ" นายสุรพล กล่าว

โดยมาตรการล่าสุดที่ภาครัฐออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน หรือลูกหนี้รายย่อยที่ทับถมกันมา คือ การโอนหนี้เสียของรายย่อย ซึ่งมีมูลหนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท ออกจากสถาบันการเงินเดิมไปสู่การบริหารจัดการของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) และใช้แนวทางในการชำระหนี้แบบผ่อนปรน, การลดดอกเบี้ย โดยจะเป็นการทำเพียงครั้งเดียว เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กว่า 3 ล้านรายให้สามารถหลุดพ้นจากการเป็นหนี้ได้ ซึ่งในเฟสแรก คาดว่าจะช่วยเหลือลูกหนี้ได้ราว 1.6 ล้านราย

"การผลักดันนโยบายนี้ จะช่วยให้คนที่ติดกับดักหนี้ ตั้งแต่โควิดมาจนถึงปัจจุบันให้หลุดพ้น สามารถเดินต่อไปได้ มันไม่มีประโยชน์ที่จะให้คนเหล่านั้นไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ปกติ และชำระหนี้เต็มยอด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เข้าใจว่าวิธีการนี้จะเริ่มได้ตั้งแต่ 1 ม.ค.69 ในเฟสแรก" นายสุรพล กล่าว

ส่วนมาตรการในเฟสต่อไปนั้น รัฐบาลได้เตรียมเรื่องการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ซึ่ง NCB มีหน้าที่ส่งข้อมูลของ 2.8 แสนบริษัท รวมยอดหนี้ 6.5 แสนล้านบาท ส่งให้กับ Policy Maker เพื่อพิจารณาตัดสินใจว่าจะออกแบบนโยบายหรือมาตรการให้ความช่วยเหลืออย่างไร

นายสุรพล กล่าวว่า ผู้ประกอบการ SME ที่อยู่ในฐานข้อมูลของเครดิตบูโร มีทั้งหนี้ดี และหนี้เสีย โดยเป็นหนี้เสียราว 3-4 แสนล้านบาท ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า ถ้าเป็นกิจการขนาดเล็กมาก (Super Micro) จะมีขนาด NPL ประมาณ 14% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง ดังนั้นจากความเปราะบางของ SME เอง ประกอบกับความเข้มงวดในการพิจารณาให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน หากไม่มีมาตรการแรง ๆ ออกมาจะยิ่งฉุดรั้งเศรษฐกิจ และการประกอบธุรกิจของคนตัวเล็กมากขึ้น

โดยขณะนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เตรียมโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SME ซึ่งเป็นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อเป็นกลไกในการค้ำประกันสินเชื่อให้ SME และเป็นแรงจูงใจให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติมเข้าไปในระบบ เป็นการยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น โดยความสูญเสียนั้น จะใช้เงินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) มาช่วยชดเชยให้ ซึ่งจะง่ายมากกว่าระบบการค้ำประกันของ บสย.ในปัจจุบัน โดยเบื้องต้นคาดว่าจะช่วยเหลือ SME ใน 6 sector

*ความท้าทายจากปัจจัยทางการเมือง

นายสุรพล กล่าวว่า ความท้าทายของ NCB ในระยะถัดไป คือ ปัจจัยเสี่ยงด้านการเมือง โดยเฉพาะในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง อาจมีบางพรรคการเมืองไม่เข้าใจบทบาทของเครดิตบูโร (NCB) โดยมองว่าเครดิตบูโรเป็นอุปสรรคในการทำให้คนเข้าถึงสินเชื่อไม่ได้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 66 มีข้อเสนอตั้งแต่การยุบเลิกเครดิตบูโร ข้อเสนอปฏิรูปกฎหมายเครดิตบูโร ด้วยการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น การลดระยะเวลาจัดเก็บข้อมูล

นายสุรพล มองว่า การปฏิรูปกฎหมายใดก็ตาม ควรจะต้องทำให้พัฒนาขึ้นไป ไม่ควรเป็นการปฏิรูปแล้วถอยหลังกลับไป เช่น มาตรฐานสากลบอกว่าการจะรู้จักตัวตนของลูกหนี้ ต้องเห็นประวัติอย่างน้อย 3 ปี ซึ่งถ้าสถาบันการเงินมีข้อมูลน้อย จะทำให้การวิเคราะห์สินเชื่อมีความแม่นยำน้อยลง และการปล่อยสินเชื่อจะทำได้ยากขึ้น จากทุกวันนี้ที่ยากอยู่แล้ว

"การจะให้เห็นแค่ 6 เดือน มันเดินหน้า หรือถอยหลัง หรือที่บอกว่า ถ้าชำระหนี้เสร็จสิ้น ให้ลบข้อมูลทิ้งทันที เราก็จะกลับไปเป็นเหมือนคนตาบอด ในปี 40 การปล่อยสินเชื่อควรมีข้อมูลเยอะ แต่การมีข้อมูลน้อย สถาบันการเงินก็ยิ่งไม่มีข้อมูลให้ดู...เรามีการเปรียบเทียบการเก็บข้อมูลทั้งยุโรป อเมริกา เอเชีย และไทยเอง เช่น กัมพูชา เก็บข้อมูลการชำระหนี้ด้วยเช็คเข้าระบบ, ลาวเก็บข้อมูลการชำระค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ำค่าไฟ) ในช่วงโควิด เพื่อช่วยผู้คน, เครดิตบูโรของกัมพูชา เก็บข้อมูลประวัติดี 10 ปี ประวัติไม่ดีเก็บ 3 ปี แต่บ้านเราบอกจะเก็บ 6 เดือน ซึ่งไม่ได้มีมาตรฐานไหนเลย นี่จึงน่าเป็นห่วง

อยากเรียกร้องว่า การจะปฏิรูปกฎหมาย หรือการจะทำให้ดีขึ้น มันต้องดูแนวทาง มีมาตรฐานโลก มาตรฐานสากล มีแบบแผนแต่ละประเทศที่ทำกัน เราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกนี้ ที่จะคิดกฎระเบียบของเราเองได้" นายสุรพล กล่าว

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน การจะใช้ข้อมูลการชำระค่าน้ำค่าไฟมาประกอบการในวิเคราะห์การให้สินเชื่อของสถาบันการเงินในไทย ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากประเทศไทยยังมีการออกแบบระบบไม่เรียบร้อยติดขัดในบางประเด็น ซึ่งต้องเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตเป็นผู้พิจารณา ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ มีผู้ว่าการ ธปท.เป็นประธาน และมีกรรมการมาจากหน่วยงานของภาครัฐ มีหน้าที่ไปผลักดันให้เกิดการบังคับใช้ได้จริง เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลของต่างประเทศ ที่มีการใช้ข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณาประกอบการให้สินเชื่อต่อไป

"ผมอยากบอกว่ามันมีมาตรฐานโลก มาตรฐานสากล ของการจัดเก็บข้อมูลที่จะทำให้เรารู้จักตัวตนของลูกหนี้มากเพียงพอ คือ ประมาณ 3 ปีย้อนหลัง ซึ่งเป็นมาตรฐานขั้นต่ำ เป็นข้อเท็จจริง บวกกับเครดิตสกอริ่งต่าง ๆ โดยมีบางประเทศ เช่น สปป.ลาว เก็บข้อมูลค่าน้ำ-ค่าไฟ เพื่อมาดูว่าคนนี้มีศักยภาพการชำระค่าน้ำค่าไฟได้ ดังนั้น ก็น่าจะมีรายได้ส่วนหนึ่งมาชำระหนี้ได้ เป็นต้น" นายสุรพล กล่าว

ทั้งนี้ ในปัจุบันข้อมูลการชำระค่าน้ำ-ค่าไฟนั้น ยังมีข้อถกเถียงกันมาอย่างต่อเนื่อง ว่าจะนับเป็นข้อมูลสินเชื่อหรือไม่ ซึ่งหลายประเทศมองว่าการให้ใช้น้ำใช้ไฟก่อน แล้วจ่ายเงินทีหลัง ถือว่าเป็นเครดิต หรือการให้สินเชื่อแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการตีความอย่างกว้าง จึงง่ายที่จะนำข้อมูลในส่วนนี้มาช่วยวิเคราะห์การพิจารณาให้สินเชื่อ

"สปิริตของกฎหมายเครดิตบูโร คือ เก็บข้อมูลที่ช่วยในการวิเคราะห์สินเชื่อ ให้รู้จักตัวตนของลูกหนี้ ถ้าเรารู้จักสปิริตของกฎหมาย ไม่ตีความอย่างแคบเกินไป ตีความให้กฎหมายทำงานได้ ไม่ตีความให้ทำงานไม่ได้ กฎหมายหลายฉบับ เขียนโดยคนที่จากโลกนี้ไปแล้ว แต่คนใช้กฎหมาย คือคนที่ยังใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ ดังนั้นต้องเปิดโอกาสให้คนที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ ต้องตีความกฎหมายให้เขาได้ใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข เราไม่ควรถูกบังคับไม่ให้พัฒนาด้วยกระบวนการเหล่านี้" นายสุรพล กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ