นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ทีมงานกำลังเร่งออกแบบมาตรการเพื่อฟื้นฟูเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายไว้ ซึ่งการจัดทำจะเป็นในรูปแบบของแพ็คเกจมาตรการ โดยเบื้องต้นจะมีทั้งการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การพักชำระหนี้ การลดดอกเบี้ย รวมถึงขยายเวลายื่นแบบชำระภาษีด้วย
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการเร่งพิจารณาแนวทางในการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ให้กลับมาคึกคักเหมือนเดิม เบื้องต้นอาจจะดำเนินการผ่าน "โครงการคนละครึ่ง พลัส" ส่วนรายละเอียดนั้น ยังอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการเพื่อให้มีความเหมาะสมที่สุด แต่กลุ่มเป้าหมายจะเป็นกลุ่มจังหวัดภาคใต้ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย
"กำลังพิจารณามาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจภาคใต้หลังน้ำท่วม ให้กลับมาคึกคักเหมือนเดิม เช่น การดำเนินการผ่านโครงการคนละครึ่ง พลัส ที่เรามองว่าประชาชนกลุ่มนี้ อาจจะต้องให้โอกาสเพิ่มเติม ต้องช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาคึกคักได้อย่างไร กลับมามีรายได้ดังเดิม ซึ่งทั้งหมดนี้ยังอยู่ระหว่างการออกแบบมาตรการ เพื่อเสนอให้ ครม.พิจารณาสัปดาห์หน้า" นายเอกนิติ กล่าวพร้อมยืนยันว่า โจทย์สำคัญในขณะนี้ คือการเร่งให้ความช่วยเหลือชีวิตประชาชนในพื้นที่ก่อน ซึ่งฝ่ายความมั่นคงกำลังเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่ ขณะที่ในมุมของเศรษฐกิจนั้นไม่ได้หยุดนิ่ง อยู่ระหว่างการเร่งพิจารณามาตรการเพื่อให้การช่วยเหลือและเยียวยาอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องผลกระทบในมุมเศรษฐกิจนั้น ยังอยู่ในวงจำกัด
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุม ครม. สัปดาห์หน้า พิจารณาแพ็คเกจช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะรายเล็กให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านกลไกการจัดตั้งกองทุนค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ดำเนินการร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สำหรับกองทุนค้ำประกันนี้ จะใช้เม็ดเงินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่เหลือจากการดำเนินโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ราว 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งวงเงินดังกล่าวส่วนหนึ่งได้มีการนำไปใช้ในโครงการ "ปิดหนี้ไว ไปต่อได้" ราว 5 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือคาดว่าจะนำมามารองรับการดำเนินการในส่วนนี้
รวมทั้งจะมีการเร่งคืนภาษีให้กับผู้ประกกอบการ SMEs เพื่อเป็นการเติมสภาพคล่องด้วย ขณะเดียวกันจะมีการดึงระบบ PromptBiz เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลการค้าและธุรกรรมการชำระเงินแบบดิจิทัลอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวางบิล การชำระเงิน จนถึงการออกใบเสร็จ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนและข้อผิดพลาด รวมถึงยังช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้นด้วย
นอกจากนี้ จะมีสินเชื่อที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัว และพัฒนาธุรกิจให้ทันสมัย (Business Transformation Loan) โดยใช้เม็ดเงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่การยกระดับธุรกิจไปสู่อุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีสูงขึ้น วงเงินสินเชื่อสูงสุด 100 ล้านบาท/ราย
นายเอกนิติ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ว่า คณะทำงานยังคงมุ่งมั่นและร่วมมือกันในการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ โดยกระบวนการยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดยุทธศาสตร์ในการเจรจาอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องเสียเปรียบ
รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ยอมรับว่า วันนี้เศรษฐกิจไทยแย่มาก สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัว ดังนั้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจจึงทำได้ค่อนข้างยาก แต่รัฐบาลมั่นใจว่ามาตรการต่าง ๆ ที่เร่งผลักดันออกมาทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยให้สถานการณ์เศรษฐกิจในไตรมาส 4/68 ฟื้นขึ้นได้แน่นอน และต้องไม่ใช่การฟื้นระยะสั้น เพราะรัฐบาลตั้งใจให้เป็นการฟื้นระยะยาว จึงเร่งผลักดันมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การเพิ่มทักษะ และการช่วยผู้ประกอบการรายเล็ก ซึ่งเป็นการตั้งต้นการแก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมา
"มาตรการเพิ่มทักษะ หรือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เหมือนกับเราให้เบ็ดเขาไปตกปลา ไม่ใช่ให้ปลาไปกินแล้วจบ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไทยนี้ สิ่งแรกที่ต้องยอมรับความเป็นจริง คือ เรื่องหนี้ครัวเรือน ดังนั้นต้องแก้อย่างตรงไปตรงมา ช่วยชุบชีวิตให้เขากลับมามีวินัยการเงิน เข้าระบบการเงินได้ ไม่ดักดานอยู่ในวงจรหนี้นอกระบบ รัฐบาลช่วย SMEs ให้มีลมหายใจ และเก่งขึ้น เข้าสู่ธุรกิจใหม่ การดำเนินการทั้หมดอยู่บนรากฐานของวินัยการคลัง นี่คือเหตุผลว่าทำให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ อย่างล่าสุด S&P ที่ไม่ปรับลด Outlook ของไทย และยังมองว่าไทยมีเสถียรภาพ นั่นมาจากความมั่นใจ และมุ่งมั่นในการรักษาวินัยการคลังของรัฐบาล" นายเอกนิติ กล่าว