นายภัสสร์ ข้อมงคลอุดม PRISM Expert จากบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม [PTTEP] กล่าวว่า กลุ่ม OPEC+ ที่ผ่านมามีการเพิ่มอัตรากำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดน้ำมันอยู่ในสภาวะซัพพลายล้นตลาด เชื่อว่าเหตุผลมาจากการพยายามกดดันประเทศในกลุ่ม OPEC+ ที่มีการผลิตเกินโควต้ามาตลอด อย่างเช่น คาซัคสถาน และพยายามแย่ง market share กลับมาจากกลุ่ม non OPEC+ อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา OPEC+ ประกาศหยุดพักการขึ้นกำลังการผลิตในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวหรือไม่
ส่วนกลุ่ม non OPEC+ โดยเฉพาะ 4 ประเทศหลักๆ คือ แคนาดา คาดการณ์ว่าในปีหน้า จะมี oil ซัพพลาย สู่ตลาดโลก เพิ่มขึ้น 80,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ประเทศกายอานา คาดการณ์ว่าปีหน้าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 150,000 บาร์เรลต่อวัน ส่วนบราซิลคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิต 300,000 บาร์เรลต่อวัน และอาร์เจนติน่า คาดการณ์ว่าปีหน้าจะมีการผลังการผลิตออกสู่ตลาดโลกเพิ่มอีก 50,000 บาร์เรลต่อวัน
ดังนั้น มองว่าในปี 69 ตลาดน้ำมันยังมีสภาวะซัพพลายล้นตลาด คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูใบปีหน้าจะอยู่ที่ 60-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และระดับราคาน้ำมันต่ำเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยในฐานะที่นำเข้าน้ำมันดิบสุทธิได้รับประโยชน์จากแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อลดลง การขาดดุลทางการค้าลดลง ใช้โอกาสนี้ในการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวเนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางมีราคาถูกลง ลดการสนับสนุนราคาพลังงาน รวมถึงการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านการพึ่งพาฟอสซิลไปสู่พลังงานที่สะอาดมากขึ้น
นายภานุเดช แสนทวีสุข PRISM Expert จาก บมจ.ปตท. [PTT] กล่าวว่า น้ำมันยังมีความต้องการใช้ในระยะสั้นและระยะกลางจะไปถึงจุดพีคในถึงปี ค.ศ.2032 ก๊าซธรรมชาติจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านจะเป็น Destination Fuel และต้องการเทคโนโลยี CCS จะมาช่วยลดคาร์บอนฯ นอกจากนี้มองว่าพลังงานสะอาดจะเติบโตอย่างมากโดยเฉพาะโซลาร์และพลังงานลม
สำหรับการสร้างความสมดุลพลังงานของประเทศไทย ในอดีตคือการรักษาความมั่นคงพลังงานของประเทศ แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไปมีการมุ่งสู่อนาคตใช้พลังงานที่สะอาดขึ้น โดยเฉพาะประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มีนโยบาย net zero ขณะที่ประเทศไทยประกาศเร็วขึ้น 15 ปี ดังนั้นภารกิจของไทยหลังจากนี้จะยังคงไว้ซึ่งความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ขณะเดียวกันเร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดเพื่อบรรลุเป้าหมาย net zero 2050 โดยในส่วนของก๊าซธรรมชาติจะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สะอาดที่สุด รวมทั้งต้องการเทคโนโลยี CCS ขณะที่น้ำมันยังคงมีความต้องการใช้ ส่วนถ่านหินจะค่อยๆ ลดบทบาทลง และต้องการเทคโนโลยีใหม่ เช่น ไฮโดรเจน และ SMR เข้ามา