ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ย. ฟื้นต่อเนื่องเดือนที่ 3 รับ "คนละครึ่งพลัส-ท่องเที่ยว-ส่งออก-บาทแข็ง" หนุนศก.

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday December 4, 2025 12:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือนพ.ย. 68 พบว่า อยู่ที่ระดับ 53.2 จากเดือนต.ค. ที่ระดับ 51.9 เป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ในรอบ 10 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความหวังและมีความเชื่อมั่นว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะทำให้ฟื้นตัวได้ในระยะสั้น แม้ว่ายังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ สงครามการค้าและสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่อาจส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยอาจฟื้นตัวได้ช้าก็ตาม

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ระดับ 46.8 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม อยู่ที่ระดับ 50.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 61.9

*ปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่

1. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการ "คนละครึ่งพลัส" ครอบคลุมประชาชน 20 ล้านคน เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ ลดรายจ่ายและกระจายรายได้สู่ร้านค้าท้องถิ่น เริ่มใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.-31 ธ.ค. 68

2. มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่ให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวภายในประเทศมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 30,000 บาท โดยสามารถใช้สิทธิได้ระหว่างวันที่ 29 ต.ค.-15 ธ.ค. 68

3. การส่งออกของไทยในเดือนต.ค. 68 มีมูลค่า 28,835 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.66% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 32,272 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 16.25% ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 3,436 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ช่วง 10 เดือนปี 68 ส่งออกได้รวม 282,982 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 13.04% และมีการนำเข้ารวม 286,848 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 12.39% ส่งผลให้ขาดดุลการค้ารวม 3,866 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

4. ระดับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศยังคงทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโซฮอล ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 (E10) อยู่ที่ระดับ 31.48 และ 31.85 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนพ.ย. 68 ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศ อยู่ที่ระดับ 30.94 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนพ.ย. 68

5. เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากระดับ 32.551 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนต.ค. 68 เป็น 32.398 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนพ.ย. 68

*ปัจจัยลบ ได้แก่

1. ผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ รวมถึงผู้บริโภคยังรู้สึกว่ารายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น

2. ความกังวลต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ที่สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร ตลอดจนการค้าขายและการท่องเที่ยว

3. ราคาข้าวเปลือกเจ้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และยางพารา อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่มากนัก มีผลต่อกำลังซื้อในบางพื้นที่ต่างจังหวัดในระยะนี้

4. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผย GDP ไตรมาส 3/68 ว่าเศรษฐกิจขยายตัว 1.2% ทำให้ช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.4% และคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 68 จะยังขยายตัวที่ 2.0% ขณะที่ในปี 69 คาดว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวในช่วง 1.2-2.2% โดยมีค่ากลางการประมาณการ 1.7%

5. SET Index ในเดือนพ.ย. 68 ปรับตัวลดลง 52.81 จุด โดยปรับตัวลดลงจาก 1,309.50 จุด ณ สิ้นเดือนต.ค. 68 เป็น 1,256.69 จุด ณ สิ้นเดือนพ.ย. 68 เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มใหญ่ สะท้อนความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว

6. ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายไทย-กัมพูชา ที่ยกระดับจนเกิดเหตุรุนแรงจนเกิดการสู้รบในช่วงปลายเดือนก.ค. แม้ว่าจะมีการเจรจาหยุดยิงก็ตาม แต่สถานการณ์ดังกล่าวยังส่งผลให้เกิดความกังวลต่อประชาชนในจังหวัดตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา รวมทั้งบรรยากาศการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนที่ชะงักงัน

7. ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับขบวนการฮามาส ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาน้ำมันและพลังงานโลกให้ปรับตัวสูงขึ้น

*น้ำท่วมกลบ "คนละครึ่งพลัส" ทำงานไม่เต็มที่

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ชัดเจนว่ามาตรการคนละครึ่งพลัส น่าจะทำให้การจับจ่ายใช้สอยดีขึ้น และส่งเสริมบรรยากาศทางเศรษฐกิจ โดยคนละครึ่งพลัส ใช้วงเงินประมาณ 66,000 ล้านบาท แต่เงินที่เข้าสู่ระบบไปหมุนระบบเศรษฐกิจน่าจะประมาณ 40,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี มองว่า ถ้าไม่มีสถานการณ์น้ำท่วม ความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะปรับตัวดีกว่านี้ เพราะความเสียหายของน้ำท่วมที่เกิดขึ้นปัจจุบันน่าจะมีวงเงินอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท ที่เป็นการพร่องเงินออกจากระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น เงินที่ถูกเติมเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ 40,000 ล้านบาท ถูกพร่องออก 20,000 ล้านบาท ทำให้ผลของมาตรการคนละครึ่งพลัสทำงานไม่เต็มที่ และทำให้เศรษฐกิจสร้างความเชื่อมั่นได้ไม่โดดเด่น เพราะถูกสถานการณ์น้ำท่วมกลบ

"เมื่อแยกดัชนีความเชื่อมั่นตามภูมิภาค จะมีภูมิภาคเดียวเท่านั้นที่มีภาพของการติดลบ ทั้งเศรษฐกิจปัจจุบัน สถานการณ์ปัจจุบัน แล้วก็สถานการณ์ในอนาคต คือภาคใต้ ซึ่งติดลบโดยเฉลี่ยประมาณ 2% ขณะที่ภาคอื่น ๆ จะมีดัชนีความเชื่อมั่นบวกในปัจจุบันประมาณ 1.5% ในอนาคตจะบวกประมาณใกล้เคียง 2% หมายความว่าเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของภาคใต้ลงให้ติดลบ ถ้าแยกผลกระทบจากภาคใต้ออกก็คิดว่าเศรษฐกิจน่าจะค่อย ๆ ดีขึ้น และน่าจะมาจากมาตรการคนละครึ่งพลัสที่เป็นมาตรการหลัก ประกอบกับสถานการณ์เงินเฟ้อที่ไม่สูง ติดลบต่อเนื่องกันมา 8 เดือนติด แต่รายได้ยังเติมไม่มาก" นายธนวรรธน์ กล่าว

ดังนั้น ถ้ารัฐบาลสามารถแก้ไขเยียวยาสถานการณ์ภาคใต้ได้เร็วและคลายตัวได้เร็ว ก็ยังมีมุมมองว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคนั้นควรจะค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ ยังไม่มีเหตุในการที่จะทำให้ความเชื่อมั่นลดลง ถ้าไม่มีเหตุการณ์ในเชิงลบซ้ำ ความเชื่อมั่นน่าจะปรับตัวเป็นบวก ในส่วนของสถานการณ์ภาคใต้ ความเชื่อมั่นอาจจะยังปรับตัวในแดนลบ และค่อย ๆ ปรับบวกขึ้นภายใน 3 เดือน หลังจากมีการเยียวยาฟื้นฟูและกระตุ้น

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือสถานการณ์เงินเฟ้อซึ่งติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 การติดลบยังอยู่ที่ประมาณ -0.5% และเงินเฟ้อพื้นฐานก็ยังติดลบ สะท้อนให้เห็นถึงภาพกำลังซื้อที่ค่อนข้างจะแผ่วบาง ดังนั้น ประเทศไทยยังจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้น และเสริมเศรษฐกิจ ซึ่งภาคของการส่งออกคงยังขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น และในปีหน้าก็มีความเสี่ยง ดังนั้น ต้องดูตัวเลขของนักท่องเที่ยวว่า นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาหรือไม่ หลังจากที่ไม่ได้เดินทางไปญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน มาตรการกระตุ้นของภาครัฐคนละครึ่งพลัสเฟส 2 ตลอดจนการเยียวยาน้ำท่วมภาคใต้จะเป็นอย่างไร ดังนั้น ยังมีมุมมองว่าเศรษฐกิจไทยยังเป็นไซด์เวย์ ความเชื่อมั่นน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ กำลังซื้อน่าจะค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้น ในช่วงปีใหม่ก็ควรจะเป็นการจับจ่ายให้สอยที่อาจจะคึกคักอยู่บ้าง

*เกาะติดสัญญาณยุบสภา มีผลงบประมาณ-ภาษีสหรัฐฯ

ส่วนกระแสการเมืองเรื่องไทม์ไลน์การประกาศยุบสภานั้น นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังพูดได้ยากว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร แต่ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การมีรัฐบาลตัวจริงจะทำให้การทำงานมีอำนาจเต็มในการจัดการนำเม็ดเงินเข้าไปในงบประมาณ สมมติว่ามีการยุบสภาเดือนม.ค. ก็คาดว่างบประมาณแผ่นดินน่าจะล่าช้าไปประมาณ 3 เดือน ถ้ามีการเตรียมในเรื่องของการเร่งงบประมาณได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ายุบสภาม.ค. เลือกตั้งมี.ค. ได้รัฐบาลพ.ค. กระบวนการในการเข้าสู่ครม. ในการปรับงบประมาณใหม่ภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ กรอบในการทำงานอาจจะมีงบประมาณแผ่นดินถูกใช้ในปีนี้ภายใต้กรอบเดิม ซึ่งทำงานได้แผนการเดิม แต่ว่าจะล่าช้าไปประมาณเดือนต.ค.-ธ.ค. ซึ่งในช่วงนั้นก็สามารถใช้โครงสร้างของประมาณปี 69 ไปพลางก่อนในปี 70 ซึ่งก็ไม่ได้มีผลกระทบในเชิงลบ เพียงแต่งบประมาณแผ่นดินอาจจะถูกใช้ช้าลง

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า อีกเรื่องที่สำคัญคือการเจรจา Transhipment Tariff เพราะรัฐบาลรักษาการจะเจรจาได้ไม่ชัดเจน ซึ่งหากมีเวลาถึงม.ค. Transhipment Tariff เรื่องของ Local content อาจจะทำการเจรจาต่อรองกับผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ได้อย่างชัดเจน เพราะเป็นรัฐบาลตัวจริงมีอำนาจเต็ม และมองว่าเป็นเรื่องสำคัญเพราะว่าเมื่อเจรจาเสร็จสิ้นแล้ว USTR ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ก็จะสามารถที่จะได้ข้อสรุปว่าประเทศไทยมีเรื่องของ Local content ใช้ได้กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจทำงานง่าย และมีผลต่อการส่งออกอย่างชัดเจน เพราะว่าการส่งออกจะเข้าในภาษี Reciprocal Tariff 19% ไม่ใช่เจอ Transhipment Tariff 40%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ