CONSENSUS: กูรูเสียงไม่แตก!! ฟันธง กนง.หั่นดอกเบี้ย 0.25% รอบ 17 ธ.ค.สู้เศรษฐกิจแผ่ว-หนี้ครัวเรือนพุ่ง

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 15, 2025 14:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

CONSENSUS: กูรูเสียงไม่แตก!! ฟันธง กนง.หั่นดอกเบี้ย 0.25% รอบ 17 ธ.ค.สู้เศรษฐกิจแผ่ว-หนี้ครัวเรือนพุ่ง

แบงก์ใหญ่ประสานเสียง มติ กนง.รอบ 17 ธ.ค.นี้ หั่นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 1.25% ชี้อุปสงค์ในประเทศแผ่ว หนี้ครัวเรือนสูง พ่วงปัจจัยลบส่งท้ายปี น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้, การสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา, การเมืองไม่นิ่ง ลุ้นทิศทางดอกเบี้ยปี 69 ยังมีโอกาสลดต่ออีกครั้ง ประคองเศรษฐกิจไทยในระดับที่โตต่ำกว่าศักยภาพ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สถาบัน                              มติ กนง.                    อัตราดอกเบี้ยใหม่
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย                     ลด 0.25%                       1.25%
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา                  ลด 0.25%                       1.25%
ttb analytics                     ลด 0.25%                       1.25%
ธนาคารไทยพาณิชย์                    ลด 0.25%                       1.25%
ธนาคารกรุงไทย                      ลด 0.25%                       1.25%+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
** KBANK

น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดการณ์ว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ กนง.จะมีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปี 68 อยู่ที่ 1.25% จากปัจจุบันที่ระดับ 1.50%

ปัจจัยที่คาดว่า กนง.จะยกมาเป็นเหตุผลลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ คือ การมองไปในระยะข้างหน้าอุปสงค์ในประเทศน่าจะอ่อนแรงลง ขณะเดียวกัน ยังมีผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดภาคใต้ด้วย

แม้ยังความเป็นไปได้ที่ กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้เช่นกัน แต่ในภาพรวมยังให้น้ำหนักไปที่ "ลด" อัตราดอกเบี้ยมากกว่า

ส่วนปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาและสถานการณ์ทางการเมืองจะมีผลต่อการตัดสินใจของกนง. หรือไม่นั้น น.ส.ณัฐพร มองว่า กนง.น่าจะพิจารณาจากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ โดยหลัก ๆ จะมองผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศมากกว่า โดยพิจารณาเป็นรายปัจจัยและน่าจะมองไปข้างหน้า ข้ามไปในไตรมาสแรกของปี 69 ว่าถ้าเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลง ก็อาจจะให้น้ำหนักว่าลดดอกเบี้ย ขณะที่ปัจจัยเรื่องการเมืองในประเทศปีหน้า ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูงจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์แนวโน้มปี 69 ว่า กนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบายเพียง 1 ครั้ง โดยคาดว่ามีโอกาสลดตั้งแต่ครั้งแรกของการประชุมปี 69 คือในเดือน ก.พ.69 โดยจะลดลงอีก 0.25% ซึ่งทำให้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของปี 69 จะอยู่ที่ระดับ 1.00% พร้อมมองว่าคงต้องมีมาตรการเฉพาะจุดเข้ามาประกอบการลดดอกเบี้ยด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจไทยในช่วงนั้น

** BAY

น.ส.รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) คาดว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 17 ธ.ค.นี้ กนง.จะมีมติปรับ "ลด" อัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาสู่ระดับ 1.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปี 68 จะอยู่ที่ระดับ 1.25%

สาเหตุที่มองว่า กนง.จะลดดอกเบี้ย เนื่องจากในปัจจุบันอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) และเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งภาวะการเงินตึงตัวสำหรับกลุ่มเปราะบางเอื้อให้ผ่อนคลายนโยบายการเงิน แม้แรงส่งเชิงบวกชั่วคราวจากมาตรการ "คนละครึ่งพลัส" จะช่วยหนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภคในไตรมาสปัจจุบันได้ แต่ก็อาจถูกฉุดรั้งในบางส่วน จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ ในขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังส่งผลจำกัดต่อภาพของเศรษฐกิจไทยโดยรวม

"อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ยังถือว่าเป็นระดับที่สูงกว่าศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่เล็กน้อย แต่ปัญหาส่วนใหญ่สะท้อนจากประเด็นเชิงโครงสร้าง ขณะที่กระสุนดอกเบี้ยมีค่อนข้างจำกัด ทำให้ กนง.ย่อมต้องการใช้ในจังหวะเวลาที่คาดหวังให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด" น.ส.รุ่ง ระบุ

ส่วนปี 69 ประเมินว่า กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง ลงมาเหลือ 1.00% ภายในครึ่งแรกของปี ซึ่งแนวโน้มความไม่แน่นอนทางการเมืองช่วงไตรมาส 2/69 อาจส่งผลต่ออุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะหากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ทำได้ล่าช้าจะกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ และการลงทุนภาครัฐ ดังนั้น เครื่องมือดอกเบี้ยนโยบาย จึงจำเป็นต้องมีบทบาทมากขึ้นในการประคองเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น ขณะที่ภาคส่งออกปี 69 มีทิศทางชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนผลที่ชัดเจนมากขึ้นของนโยบายภาษีสหรัฐฯ

** TTB

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) ประเมินว่า กนง.จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในรอบการประชุมเดือนธ.ค.นี้ สู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปี 68 พร้อมกับการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อลงในปี 68-69

พร้อมประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.75-1% ณ สิ้นปี 69 ซึ่งจะเป็นการปรับนโยบายทางการเงินให้มีความสมดุล (Recalibration) และสอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอลงในหลายภาคส่วน จากเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำลง อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ต่ำกว่ากรอบล่างเป้าหมายต่อไป

นอกจากนี้ การผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง จะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนี้แก่ภาคครัวเรือนและ SMEs ควบคู่ไปกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้แบบเฉพาะเจาะจงอื่น ๆ เช่น โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" โครงการ "ปิดหนี้ไว ไปต่อได้" เป็นต้น

** SCB

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) คาดว่า กนง.จะมีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ไปอยู่ที่ 1.25% ในการประชุมรอบนี้ เนื่องจากในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ และปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังมีการยุบสภา โดยถึงแม้เลขเศรษฐกิจเดือนล่าสุด จะออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อย แต่หากมองไปข้างหน้า ยังพบว่าแรงกดดันด้านต่ำมีมากกว่า

นอกจากนี้ หากเทียบกับระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมต่อเศรษฐกิจ (neutral rate) มองว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันน่าจะปรับลดลงได้อีก เพื่อให้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น ดังนั้น หาก กนง.ลดดอกเบี้ยได้เร็ว ก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจได้เร็ว และดีกว่า

"ขณะนี้ตลาดให้โอกาสราว 70% ที่ กนง.จะลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ ดังนั้น หาก กนง.ลดดอกเบี้เลย จะเป็นการ surprise ตลาดบางส่วน ซึ่งจะทำให้บอนด์ยิลด์ปรับลดลงได้มากกว่า และช่วยผ่อนคลายภาวะการเงิน (financial condition) ได้ดีกว่าการลดดอกเบี้ยช้า" นายวชิรวัฒน์ ระบุ

อย่างไรก็ดี หาก กนง.เลือกที่จะยัง "ไม่ลดดอกเบี้ย" ในการประชุมรอบนี้เพื่อรักษา Policy space เอาไว้คาดว่าบอนด์ยีลด์อาจปรับสูงขึ้น และกดดันเงินบาทให้แข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้ภาวะการเงินไทยตึงตัวขึ้นอีกเล็กน้อย

สำหรับมุมมองในปี 69 นายวชิรวัฒน์ คาดว่า กนง.อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายต่อได้อีก 1 ครั้ง ไปอยู่ที่ 1.00% แต่อาจมีการเว้นวรรคการลดดอกเบี้ย เพื่อรอประเมินผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยในครั้งก่อน ๆ

** KTB

นายพูน พานิชย์พิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย (KTB) ประเมินว่า ในการประชุม กนง.รอบนี้ มีโอกาสจะเห็นการลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 1.25% เนื่องจากประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ประเมินไว้รอบล่าสุดนั้นออกมาต่ำกว่าที่คาดเล็กน้อย โดยเฉพาะภาคการผลิตที่ชะลอตัวลงมากกว่าคาด

นอกจากนี้ ยังมีสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ รวมทั้งเหตุความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งจะมีโอกาสจะกระทบต่อการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีได้ รวมไปถึงปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน และหนี้ภาคธุรกิจ SMEs ซึ่งยังเป็นสิ่งที่ ธปท. มีความกังวล

ดังนั้นในช่วงจังหวะนี้ ถือว่ามีความเหมาะสมที่จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง อีกทั้งจะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระหนี้ของประชาชน ช่วยให้ยอดผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนต่ำลง ทำให้มีเงินเหลือพอที่จะไปใช้จ่ายในส่วนอื่นได้ และเชื่อว่าการลดดอกเบี้ยคงไม่ได้เป็นการกระตุ้นให้คนไปเร่งกู้หนี้ยืมสินเพิ่มขึ้น เพราะทุกวันนี้ประชาชนต่างก็มีหนี้สินกันมากอยู่แล้ว

"การลดดอกเบี้ยตอนนี้ เป็นทางเลือกที่ดีในการประสานการทำงาน ระหว่างนโยบายการเงินกับนโยบายการคลัง ที่รัฐบาลออกมาก่อนหน้านี้ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส เมื่อรวมกับมาตรการทางการเงินในที่เฉพาะเจาะจง ในเรื่องการแก้หนี้รายย่อย เช่น โครงการคุณสู้ เราช่วย, โครงการปิดหนี้ไว ไปต่อได้ ถือว่าเป็นจังหวะดีที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่ม เพราะตอนนี้ก็บาทแข็งค่ามากกว่าสกุลอื่น จังหวะนี้มีเหตุผลที่จะลดดอกเบี้ย" นายพูน ระบุ

พร้อมมองว่า ระดับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงมานี้ ถือว่ามีความสอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน ที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ได้สูงอยู่ในระดับศักยภาพ เหมือนเช่นอดีตที่เคยเติบโตได้ 3-4% ซึ่งเป็นไปได้ว่าในอนาคตศักยภาพเศรษฐกิจไทยในบริบทใหม่ อาจลดลงมาเหลือเพียง 2% และเชื่อว่าในอนาคต ยากที่จะเห็นดอกเบี้ยขาขึ้นกลับไปถึงระดับ 2.50% ได้เหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพราะส่วนหนึ่งอัตราดอกเบี้ยถูกจำกัดด้วยศักยภาพทางเศรษฐกิจ

สำหรับทิศทางดอกเบี้ยนโยบายในปี 69 นายพูน กล่าวว่า หากในรอบนี้ กนง.ตัดสินใจลดดอกเบี้ยลง 0.25% มาอยู่ที่ 1.25% ณ สิ้นปีนี้ ก็เชื่อว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับนี้ไว้ต่อเนื่องไปตลอดทั้งปีตราบใดที่ไม่มีปัจจัยหนัก ๆ เข้ามากระทบเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง เหมือนเช่นวิกฤติการเงินโลก หรือช่วงสถานการณ์โควิด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ