ไม่ติดหล่ม!! รมว.คลัง มั่นใจมาตรการกระตุ้นศก.หนุน GDP Q4/68 โตกว่า 1% ทั้งปีเกิน 2%

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 15, 2025 12:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ไม่ติดหล่ม!! รมว.คลัง มั่นใจมาตรการกระตุ้นศก.หนุน GDP Q4/68 โตกว่า 1% ทั้งปีเกิน 2%

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้เร่งผลักดันออกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เข้ามาเป็นรัฐบาลในวันที่ 30 ก.ย. 68 ทั้งโครงการคนละครึ่ง พลัส การเติมเงินผ่านบัตรสวัสดิการ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และมาตรการ Thailand Fast Pass เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุน 4.7 แสนล้านบาท รวมถึงการอนุมัติโครงการลงทุน 1.6 แสนล้านบาท ที่ขอรับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีนี้ จนถึงปีถัด ๆ ไป รวมถึงเชื่อว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/68 ไม่ติดหล่ม สามารถขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 1% และทั้งปี 2568 มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 2%

ไม่ติดหล่ม!! รมว.คลัง มั่นใจมาตรการกระตุ้นศก.หนุน GDP Q4/68 โตกว่า 1% ทั้งปีเกิน 2%

นายเอกนิติ กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานเสวนา "Thailand Confidence 2026: ขับเคลื่อนความเชื่อมั่นสู่อนาคต" ว่า ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าจะสามารถเดินหน้าโครงการคนละครึ่ง พลัส เฟส 2 ได้หรือไม่ ภายหลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศยุบสภาไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งต้องยอมรับว่ายังมีอีกหลายนโยบายใหม่ ๆ ที่ไม่สามารถขับเคลื่อนได้หลังจากนี้ เช่น โครงการ Thailand Individual Savings Account (TISA) ซึ่งเป็นโครงการบัญชีออมและลงทุนส่วนบุคคลรูปแบบใหม่เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว และกระตุ้นตลาดทุน รวมถึงการแก้หนี้ เฟส 2 สำหรับลูกหนี้กลุ่มนอนแบงก์ ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ที่ 3.4 ล้านราย ก็อาจจะต้องรอไปก่อนเช่นกัน

โดยในระหว่างนี้ รัฐบาลยังเดินหน้าตามโครงการเดิมที่ได้เคยอนุมัติไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้หนี้ครัวเรือน ที่มีหนี้เสียรายละไม่เกิน 1 แสนบาท ที่มีเป้าหมาย 2 ล้านราย ที่จะเริ่มเดินหน้าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.69 รวมถึงมาตรการในการให้ความช่วยเหลือ SMEs วงเงินรวมกว่า 3.2-3.3 แสนล้านบาท ทั้งในส่วนของกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงการคืนเม็ดเงินภาษีให้ SMEs ที่ตั้งเป้าว่าภายในไตรมาส 4/68 จะคืนภาษีให้ราว 6 หมื่นล้านบาท ตลอดจนโครงการออมพลัส ของ สบน. ที่ยังคงเดินหน้าได้อย่างแน่นอน

"ตอนนี้นโยบายใหม่ ๆ คงทำไม่ได้เลย ดังนั้น ระหว่างนี้รัฐบาลคงเดินหน้านโยบายเดิมที่ได้มีการอนุมัติเรียบร้อยแล้วไปก่อน" นายเอกนิติ กล่าว

สำหรับโครงการ "คนละครึ่ง พลัส" เฟสแรกนั้น รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าวว่า ได้ก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายกว่า 7 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการใช้จ่ายใน กทม. เพียง 17% เท่านั้น ที่เหลือกระจายอยู่ในทั่วประเทศ สะท้อนถึงความสำเร็จของมาตรการที่ต้องการเน้นการกระจายตัวเป็นหลัก

ขณะเดียวกันยังมีโครงการ Upskill ให้กับร้านค้าที่เข้าร่วมอบรมเพื่อเพิ่มทักษะในการขายออนไลน์ จัดทำบัญชีต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบ ซึ่งมีการลงทะเบียนแล้วกว่า 1 แสนร้านค้า โดยในส่วนนี้ได้ช่วยเพิ่มยอดขายให้ร้านค้า 300-400% ขณะที่ไรเดอร์มีรายได้เพิ่มขึ้นราว 20% จากปกติอีกด้วย

รวมถึงยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค โดยสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่ขยับเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 53 ภายใน 2 เดือน จากก่อนหน้านี้อยู่ต่ำสุดไม่ถึงระดับ 50 นี่คือตัวเลขจริงที่จับต้องได้ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มกลับขึ้นมา

นายเอกนิติ ยอมรับว่า รัฐบาลได้ประกาศยุบสภาเร็วกว่ากำหนดเดิมที่แถลงนโยบายไว้ คือ วันที่ 31 ม.ค.69 แต่ประเด็นนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากสิ่งที่ได้คาดการณ์ไว้ เพียงแต่ระยะเวลาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านนโยบายใหม่ ๆ สั้นลง จากเดิมที่ได้ออกแบบมาตรการภายใต้การทำงาน 4 เดือน ทำให้ความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนมาตรการใหม่ ๆ อาจจะทำไม่ได้แล้ว

แต่อย่างไรก็ดี ยืนยันว่าการทำงานด้านเศรษฐกิจทุกอย่างยังอยู่ในกรอบ Quick Big Win เหมือนเดิม และรัฐบาลได้ขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ ผ่าน 5 เสาหลัก 1 ฐานรากเสร็จเรียบร้อยแล้วเกือบ 99% และผลของมาตรการเริ่มออกมาแล้ว ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงเปลี่ยนผ่านให้สามารถเติบโตได้ในอนาคตอย่างมั่นคง

รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง มั่นใจว่ามาตรการทั้งหมดที่รัฐบาลได้เร่งดำเนินการไป ไม่ได้มีการกู้เงินหรือใช้เม็ดเงินลงทุนใหม่เลย ทั้งหมดดำเนินการผ่านงบประมาณที่มีอยู่เดิม รวมถึงมีการจัดทำแผนการคลังระยะปานกลางที่มีความชัดเจน เข้มแข็ง สะท้อนกรอบความยั่งยืนทางการคลัง โดยการตั้งเป้าหมายลดการขาดดุลจากปัจจุบันที่ 4.4% ให้เหลือ 3% ภายในปี 2572

รวมถึงมีการกำหนดกติกาที่เข้มข้นในการใช้มาตรการกึ่งการคลัง ผ่านมาตรา 28 ซึ่งเป็นการเรียกความเชื่อมั่นจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ที่ก่อนหน้านี้มีการตั้งข้อสังเกตว่าฐานะการคลังของไทยไม่มีเสถียรภาพ จนนำมาซึ่งการปรับลด Outlook ของไทยจาก 2 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ

"สุดท้ายทั้งหมดที่ทำจะไร้ค่า ถ้าบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ยังเห็นว่าแต่ละนโยบายของรัฐบาลเป็นการใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย ดังนั้น ทุกนโยบายที่ทำจึงไม่ได้มีการใช้เงินใหม่ หรือกู้ใหม่เลย แม้ว่าก่อนหน้านี้ไทยจะโดน 2 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือปรับลด Outlook ลง แต่จากความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่ทำให้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P เห็น จึงคง Outlook ของไทยไว้ ตรงนี้จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นในมิติต่าง ๆ กลับมา เพราะถ้าเราไม่ทำอะไรเลย จนโดน 3 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือปรับลด Outlook ลง หลังจากนั้นภายใน 6-12 เดือน ไทยจะโดนดาวน์เกรด ตรงนี้จะกระทบกับต้นทุนการกู้เงินของบริษัทไทย เงินทุนไหลออก

ดังนั้น วันนี้เราต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นกลับมาผ่านความเข้มข้นด้านวินัยการคลังที่หลายคนอาจจะไม่ชอบ แต่ก็เป็นการวางรากฐานให้เศรษฐกิจ และเชื่อว่าหลาย ๆ มาตรการที่รัฐบาลผลักดันจนเสร็จสิ้น จะเป็นพลังต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจในปี 2569 ให้หมุนต่อไปได้ แม้จะออกนโยบายใหม่ไม่ได้" นายเอกนิติ ระบุ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ