คลัง-ธปท.-ก.ล.ต. คุมซื้อขายทองออนไลน์ จ่อเก็บภาษีเฉพาะ-กำหนดเพดานซื้อขาย หวังสกัดบาทแข็ง

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday December 23, 2025 14:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

คลัง-ธปท.-ก.ล.ต. คุมซื้อขายทองออนไลน์ จ่อเก็บภาษีเฉพาะ-กำหนดเพดานซื้อขาย หวังสกัดบาทแข็ง

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อหาแนวทางในการบริหารจัดการสถานการณ์ค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมว่า ในเบื้องต้นได้วาง 3 มาตรการในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว ประกอบด้วย

1. ให้กรมสรรพากร กำหนดแนวทางสำหรับผู้ให้บริการซื้อ-ขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ จะต้องมีการรายงาน หรือนำส่งข้อมูลธุรกรรมให้กรมสรรพากร เหมือนกับการซื้อขายสินค้าออนไลน์อื่น ๆ ที่ต้องมีการรายงานข้อมูลให้กรมสรรพากรอยู่ในปัจจุบัน

คลัง-ธปท.-ก.ล.ต. คุมซื้อขายทองออนไลน์ จ่อเก็บภาษีเฉพาะ-กำหนดเพดานซื้อขาย หวังสกัดบาทแข็ง

2. จะให้กรมสรรพากร พิจารณาความเหมาะสม หากจะต้องจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับธุรกิจการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยให้กรมสรรพากรไปพิจารณาว่า จะใช้มาตรการภาษีธุรกิจเฉพาะในการดูแลเรื่องนี้ต่อไป

3. ธปท. จะไปดูแนวทางในการกำกับปริมาณการทำธุรกรรมทองคำที่มีการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เหมาะสม เช่น จะมีการกำหนดเพดาน หรือวงเงิน เป็นต้น

"รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และมองว่า 3 แนวทางนี้ จะเป็นแนวทางในการกำกับดูแลเรื่องทองคำที่มีการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้อย่างเหมาะสม ซึ่ง 2 มาตรการนั้น กรมสรรพากรจะเป็นเจ้าภาพ ส่วนอีกมาตรการเป็นหน้าที่ของ ธปท." ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุ

คลัง-ธปท.-ก.ล.ต. คุมซื้อขายทองออนไลน์ จ่อเก็บภาษีเฉพาะ-กำหนดเพดานซื้อขาย หวังสกัดบาทแข็ง
*ธปท.จ่อออกมาตรการกำกับร้านทองออนไลน์กลางเดือนม.ค.69

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า มาตรการในส่วนของ ธปท.นั้น จะดำเนินการกับการซื้อขายทองคำ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เท่านั้น เพราะปัจจุบันพบว่ามีปริมาณการซื้อขายที่สูงเกินสมควร เบื้องต้นจะครอบคลุมธุรกิจทองคำที่มีการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ราว 15-16 ราย ซึ่งเป็นรายใหญ่ และมีปริมาณการซื้อขายสูงอยู่ที่ 3-4 ราย โดยปริมาณธุรกรรมการซื้อขายทองรวมกันในปี 2567 โตกว่า 39-40% ของ GDP และปี 2568 ประเมินว่าจะเกิน 50% ของ GDP ซึ่งที่ผ่านมา ยังไม่มีหน่วยงานที่เข้ามากำกับดูแลการทำธุรกรรมในส่วนนี้

ทั้งนี้ ธปท. อยู่ระหว่างการประสานกับกระทรวงการคลัง ในการแก้ไขประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อให้เพิ่มอำนาจให้ ธปท. ในการกำกับดูแลธุรกรรมต้องสงสัยการซื้อขายทองคำ โดยเฉพาะร้านทองรายใหญ่ และแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ และคาดว่าจะสามารถออกประกาศดังกล่าวได้ภายในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ม.ค.69 เนื่องจากพบว่า ธุรกรรมการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ สูงถึง 80% ขณะที่การซื้อขายผ่านร้านทองปกติ มีเพียง 15-20% เท่านั้น ซึ่งในจุดนี้เป็นอีกส่วนที่ทำให้ ธปท. อยากเข้าไปดูแล

"เราอยู่ระหว่างการเฮียริ่งประกาศกระทรวงการคลัง คาดว่าภายใน 2 สัปดาห์น่าจะแล้วเสร็จ และสามารถประกาศได้ภายในกลางเดือนมกราคม 69 โดยเราจะมีอำนาจในการกำกับข้อมูล เช่น ซื้อขายทองในรูปเงินบาทที่มีมูลค่าสูงบนแอปฯ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อค่าเงินบาท เพราะธุรกรรมผ่านออนไลน์ มีสัดส่วนสูงถึง 80% เมื่อเทียบกับการซื้อขายผ่านร้าน Physical แค่ 15-20% ซึ่งเราไม่ได้กำกับธุรกิจผู้ค้าทองคำ อย่างไรก็ดี มองว่าในที่สุด จะต้องมีคนกำกับธุรกิจร้านค้าทอง เพราะมีธุรกรรมสูงมาก และเข้าใจว่าไม่มีประเทศไหนสูงเท่าเรา" ผู้ว่าฯ ธปท. ระบุ

นอกจากนี้ จะมีการออกเกณฑ์ให้สถาบันการเงิน เข้มงวดในการตรวจสอบเอกสารเงินเข้าประเทศ โดยเฉพาะในส่วนที่ต้องขายดอลลาร์เพื่อซื้อบาท ซึ่งที่ผ่านมา มีการเปิดเสรีมาตลอดกว่า 10 ปี โดยหลังจากนี้ จะต้องมีการชี้แจงให้ชัดเจนถึงแหล่งที่มาของเงินดังกล่าว และวัตถุประสงค์ในการนำเข้ามาใช้ เพื่อเป็นการป้องปรามในภาพที่ใหญ่ขึ้น โดยในส่วนนี้คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์

"มาตรการนี้ จะเป็นการดูแลค่าเงินบาทในภาพใหญ่ขึ้น ไม่ใช่มาตรการด้านภาษี และไม่ได้มีการใส่ลิมิตการห้ามนำเงินเข้าประเทศ แต่จะเป็นการขอให้แบงก์เข้มงวดในการตรวจสอบเอกสาร ที่จะต้องตรวจให้ชัดเจนว่าแหล่งที่มาของเงินมาจากไหน เอามาใช้ในวัตถุประสงค์อะไร เป็นการป้องปรามในภาพใหญ่" ผู้ว่าการ ธปท. ระบุ

อย่างไรก็ดี ยืนยันว่ามาตรการนี้ จะไม่มีผลกระทบและไม่เกี่ยวข้องกับรายย่อยที่มีการซื้อขายทองคำตามร้านทองทั่วไป

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2568 พบว่า เงินบาทแข็งค่าไปแล้ว 9.4% นำภูมิภาค เป็นรองเพียงมาเลเซีย ขณะที่ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าไปแล้ว 4.2% ถือว่าเร็วมาก สถานการณ์การแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวไม่สะท้อนปัจจัยเกี่ยวกับข้อมูลเศรษฐกิจ โดยการแข็งค่าหลัก ๆ มาจากปัจจัยพื้นฐานเรื่องการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ, การไหลเข้าของเงินทุน และ flow จากธุรกรรมซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต้องสงสัยที่ทำให้เกิดการขายดอลลาร์ซื้อบาท เป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่มากระทบสถานการณ์ค่าเงินในช่วงที่ผ่านมา

นายวิทัย กล่าวว่า ปัจจุบัน ปริมาณการซื้อขายทองคำในแต่ละวัน มีมูลค่ารวมสูงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนในบางช่วงเวลามีปริมาณการซื้อขายสูงในระดับที่ใกล้เคียงกับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีข้อมูลพบว่า มูลค่าการซื้อขายทอง เฉลี่ยอยู่ที่ 6.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 4.2 หมื่นล้านบาทต่อวัน และในบางวันที่ราคาทองคำผันผวนมาก พบว่า มูลค่าการซื้อขายทองสูงสุดถึง 2.55 แสนล้านบาท สะท้อนปริมาณการซื้อขายของธุรกิจทองที่ใหญ่มาก ๆ

นายวิทัย กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดธุรกรมการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX) ตามมาทันที จนบางครั้งเกิดการขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สุทธิมากถึง 40-50% ของปริมาณการขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สุทธิของทั้งประเทศในช่วงนั้น ๆ จึงส่งผลโดยตรงต่อค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นเร็ว และแข็งค่านำสกุลภูมิภาค อีกทั้งยังผันผวนไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. ได้ผลักดันให้การซื้อขายทองคำ ไปอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบต่อค่าเงินบาท รวมทั้งได้เพิ่มความเข้มงวดในการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศของกลุ่มบริษัททองคำ และให้กลุ่มผู้ค้าทองคำรายใหญ่ รายงานข้อมูลการทำธุรกรรมซื้อขายทองคำโดยละเอียด อย่างไรก็ดี ผลต่อค่าเงินบาทจากธุรกรรมของบริษัททองคำยังคงสูงต่อเนื่อง

"ต้องยอมรับว่า เงินบาทของไทย เคลื่อนไหวสัมพันธ์กับราคาทองคำ (Correlation) มากกว่าสกุลเงินภูมิภาค เพราะเรามีการซื้อขายทองคำเยอะ ทำให้ราคาทองขึ้น พอทองขึ้น คนก็ขาย ร้านทองก็ต้องมีการสแควร์ค่าเงิน ก็เป็นผลทำให้เงินบาทแข็งค่า โดยเงินบาทไทยมี Correlation อยู่ที่ 65% ในบางช่วง ขณะที่ประเทศอื่นอยู่ที่ราว 20-30% เท่านั้น ตรงนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทผันผวนสูง ตามการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ" นายวิทัย กล่าว
*ก.ล.ต.ชี้การซื้อขาย USDT ไม่มีนัยต่อค่าเงิน

ด้านนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า การซื้อขาย USDT ของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทแข็งค่านั้น เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากปริมาณธุรกรรมซื้อขาย USDT รวมถึงยอดการแลก USD เป็น THB ของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล คิดเป็นเพียง 1.22% และ 0.17% ของยอด FX inflow ซึ่งมีมูลค่า 29.1 ล้านล้านบาท ตามลำดับ ดังนั้นจึงถือว่าไม่มีนัยสำคัญต่อค่าเงิน

ทั้งนี้ ในระยะต่อไป ทั้ง 3 หน่วยงาน จะได้มีการติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการค่าเงินบาทที่เหมาะสมต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ