สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย เดือนพ.ย.68 ว่า การส่งออก มีมูลค่า 27,445 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 7.1% ซึ่งนับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 30,172 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 17.5% ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า 2,726 ล้านดอลลาร์
ขณะที่ช่วง 11 เดือนปีนี้ (ม.ค.-พ.ย.68) การส่งออก มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 310,706 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.6% ส่วนการนำเข้า มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 315,662 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.4% เป็นผลให้ช่วง 11 เดือนแรกปีนี้ ไทยขาดดุลการค้า 4,956 ล้านดอลลาร์

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า การส่งออกยังได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ตามวัฎจักรขาขึ้นของคอมพิวเตอร์ และการเติบโตของเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมทั้ง AI ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังขยายตัวได้ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากพิจารณาการส่งออกเป็นรายกลุ่มสินค้า จะพบว่า
- กลุ่มสินค้าเกษตร มูลค่าส่งออก 1,868.8 ล้านดอลลาร์ ลดลง 15.7% หดตัวต่อเนื่องกัน 4 เดือน อย่างไรก็ดี ยังมีสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ เนื้อและส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ที่บริโภคได้, กุ้งสด แช่เย็น-แช่แข็ง
- กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร มูลค่าส่งออก 1,868 ล้านดอลลาร์ ลดลง 2.3% หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน แต่ทั้งนี้ ยังมีสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ไขมัน และน้ำมันจากพืชและสัตว์, ผลไม้กระป๋อง และแปรรูป
- กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม มูลค่าการส่งออก 23,083 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.2% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 20 โดยสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, อัญมณีและเครื่องประดับ, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์-ส่วนประกอบ, แผงสวิตช์ และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า, หม้อแปลงไฟฟ้า-ส่วนประกอบ และแผงวงจรไฟ้ฟ้า
สำหรับการส่งออกในรายตลาดนั้น ตลาดสำคัญที่ขยายตัวได้ใน 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 เอเชียใต้ ขยายตัว 52.5% อันดับ 2 สหรัฐฯ ขยายตัว 37.9% อันดับ 3 สหภาพยุโรป ขยายตัว 12% อันดับ 4 แคนาดา ขยายตัว 9.2% และอันดับ 5 สหราชอาณาจักร ขยายตัว 6.5% ส่วนตลาดสำคัญที่หดตัว ได้แก่ อันดับ 1 สวิตเซอร์แลนด์ หดตัว 31.7% อันดับ 2 รัสเซียและ CIS หดตัว 24.9% อันดับ 3 CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) หดตัว 18% อันดับ 4 ญี่ปุ่น หดตัว 8.9% และอันดับ 5 จีน หดตัว 7.8%
- คาดปีนี้ส่งออกโต 11-12% สูงกว่าเป้าเดิมที่คาดไว้
นายนันทพงษ์ กล่าวถึงแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 68 ว่า การส่งออกปีนี้ มีแนวโน้มจะขยายตัวได้มากกว่าที่คาดไว้ กล่าวคือสามารถเติบโตได้ในระดับ 2 หลัก ซึ่งมีแรงสนับสนุนที่สำคัญจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีความต้องการในระดับสูง และการดำเนินมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ กับจีน และประเทศต่าง ๆ ได้ผ่อนคลายลงมากกว่าในช่วงต้นปี
ดังนั้นจึงประเมินว่าภาพรวมการส่งออกของไทยทั้งปีนี้ จะมีมูลค่าราว 335,707 - 337,207 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ 11.6-12.1%
ทั้งนี้ ประเมินว่าการส่งออกของไทยในเดือนธ.ค.นี้ จะมีมูลค่าราว 25,000-26,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากอยู่ในกรอบนี้ คาดว่าส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของไทยทั้งปี จะอยู่ที่ราว 3.35-3.37 แสนล้านดอลลาร์ คิดเป็นอัตราการขยายตัวทั้งปีที่ 11.6-12.1%
"การส่งออกเดือนธ.ค. เราให้ downside ไว้ที่ 25,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้ทั้งปี การส่งออกมีมูลค่ารวม 335,707 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11.6% ส่วน Upside เรามองไว้ที่ 26,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้ทั้งปี การส่งออกมีมูลค่ารวม 337,207 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวได้ 12.1%" ผู้อำนวยการ สนค. กล่าว- ยอมรับบาทแข็ง กดดันสินค้ากลุ่มเกษตร-อาหาร
ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวถึงสถานการณ์เงินบาทแข็งค่าว่า จะมีผลกระทบโดยตรงกับการส่งออกของไทยในกลุ่มสินค้าเกษตร และสินค้าอาหาร เนื่องจากเป็นสินค้าที่มี margins ต่ำ
"เงินบาทแข็งค่า กระทบกับการส่งออกสินค้าในกลุ่มที่มี margins ต่ำ เช่น กลุ่มสินค้าเกษตร สินค้าอาหาร ซึ่งตั้งแต่ต้นปี อัตราการส่งออกเริ่มติดลบมากกว่ากลุ่มอื่น โดยสินค้าเกษตรมีสัดส่วนการส่งออกราว 8% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูง และภาพรวม 11 เดือนยังคงติดลบ สะท้อนให้เห็นว่า การที่เงินบาทแข็งค่า จะมีความอ่อนไหวมากกับสินค้าที่ margins ต่ำ ซึ่งหลัก ๆ คือสินค้าเกษตร และอาหาร" นายนันทพงษ์ กล่าวผู้อำนวยการ สนค. ยอมรับว่า สถานการณ์ซื้อขายทองคำ เป็นส่วนหนึ่งที่มีผลต่อการแข็งค่าของเงินบาท โดยช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกทองคำ ขยายตัว 13.2% ซึ่งการส่งออกทองคำมีสัดส่วนที่ 3.8% ของการส่งออกไทยโดยรวม และในเดือนพ.ย. การส่งออกทองคำ มีมูลค่า 11,900 ล้านดอลลาร์ หดตัว 51.2% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปริมาณ และราคา โดยภาพรวมตลาดส่งออกทองคำที่ยังขยายตัวดีในปีนี้ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์, กัมพูชา, สิงคโปร์ และลาว แต่อย่างไรก็ดี ในเดือนพ.ย. ไม่มีการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชา ซึ่งในช่วง 2 เดือนหลังที่การส่งออกทองคำลดลง คาดว่าเป็นเพราะมีการขายทำกำไรในช่วงปลายปี
- ปัจจัยหนุน-ปัจจัยกดดัน ต่อการส่งออก
ปัจจัยหนุน
- การส่งออกไปสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวสูง แม้เผชิญภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal TariffX
- การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก
- การขยายตัวต่อเนื่องของการผลิตภาคอุตสาหกรรมของโลก และประเทศคู่ค้าสำคัญ
ปัจจัยกดดัน
- แรงส่งจากการเร่งส่งออกสินค้าในช่วงที่ผ่านมาเริ่มทยอยหมดลง ประกอบกับสัญญาณชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าบางประเทศ
- การส่งออกสินค้าเกษตร และอาหารสำคัญหดตัวจากการการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดโลก และผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท
- คาดส่งออกปี 69 โตชะลอเหลือ -3.3 ถึง 1.1%
ส่วนแนวโน้มการส่งออกในปีหน้านั้น นายนันทพงษ์ คาดว่ามูลค่าการส่งออกไทย จะอยู่ในช่วง -3.3 ถึง 1.1% ซึ่งการส่งออกจะเติบโตชะลอลง จากภาวะเศรษฐกิจโลกและคู่ค้าสำคัญที่ชะลอตัว ผลของมาตรการภาษีสหรัฐฯ เริ่มชัดเจนขึ้น ปัญหาด้านราคา และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลต่อขีดความสามารถทางการแข่งขัน ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ และปัญหาสภาพอากาศรุนแรงจะส่งผลต่อสินค้าเกษตร
"ถ้ามีแนวโน้มสถานการณ์ที่เปลี่ยนเร็ว และแรงกดที่ต่ำ ซึ่งมาจาก Geopolitics เราเห็นตั้งแต่สงครามการค้า ความขัดแย้งในภูมิภาค ซึ่งเป็นตัวฉุด ส่วนประเด็นที่สอง เป็นเรื่องภาษี ถ้าไม่ stable ก็จะเป็นแรงกดที่ทำให้การส่งออกปีหน้าลดลง ซึ่ง สนค.ประเมินเบื้องต้นไว้ -3.3% แต่หากกรณีการส่งออกดีขึ้น เช่น วัฎจักรของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ดีขึ้น โดยสินค้าในกลุ่มนี้ไทยมีสัดส่วนการส่งออกที่สูงถึง 30% ตลอดจนหากยังมีอุปสงค์สินค้า AI, Cloud computing นั่นหมายความว่าไทยยังอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวจากไทยสูงขึ้น และหากการส่งออกสินค้าเกษตรดีขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยหนุน ซึ่งอิงกับค่าเงินบาท แต่ก็ต้องดูสถานการณ์ตรงนี้ด้วย ที่ประเมิน upside ไว้เบื้องต้น คือ 1.1% นี่คือภาพรวมปีหน้า" นายนันทพงษ์ กล่าวพร้อมระบุว่า การทำงานของกระทรวงพาณิชย์ในปีหน้า จะมุ่งเน้นการเร่งเจรจาความตกลง Reciprocal Trade กับสหรัฐฯ ให้แล้วเสร็จ พร้อมกับเพิ่มความเข้มงวดเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้า รวมไปถึงกวาดล้างธุรกิจนอมินี และเดินหน้าเจรจาและผลักดันการใช้ประโยชน์จาก FTA สร้างแต้มต่อทางการค้า และร่วมมือกับภาคเอกชนผลักดันเป้าหมายการส่งออกให้เติบโต ท่ามกลางอุปสงค์ที่อ่อนแอ และความไม่แน่นอนที่ยังมีต่อเนื่องในปีหน้า