นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยว่า ธปท.เตรียมนัดหารือกับสมาคมธนาคารไทยอีกครั้ง หลังจากกระทรวงการคลังได้ข้อสรุปแนวทางและอัตราการเรียกเก็บเงินสมทบเพิ่มเติมจากระดับปัจจุบัน 0.4%ของฐานเงินฝาก ณ สิ้นปีจากธนาคารพาณิชย์เพื่อนำไปชำระหนี้พร้อมอัตราดอกเบี้ยมูลค่า1.14 ล้านล้านบาทของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่ง ธปท.ได้เสนอแนวต่างๆ ให้พิจารณา คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนใน 1-2 สัปดาห์นี้
“ธปท.เสนอไปหลายทางเลือก โดยมีการระบุถึงข้อดีและข้อเสียในแต่ละทางเลือก ดังนั้นคงต้องรอให้ท่านได้พิจารณาก่อน หลังจากนั้นก็จะนำเข้าหารือกับสมาคมแบงก์ไทย เพราะโดยปกติแล้วเขาเองก็ควรได้รับรู้ด้วย เพราะไปกระทบกับเขา ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือคงมีการนัดประชุมกัน แต่ต้องรอให้กระทรวงคลังพิจารณาแนวทางต่างๆ ก่อน"นายประสาร กล่าวถึงการหารือกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังวานนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ข้อเสนอของธปท.ต่อกระทรวงการคลังจะมีหลายทางเลือก แต่โดยเฉลี่ยแล้วคาดว่าจะชำระหนี้เงินต้นของกองทุนฟื้นฟูฯ ให้หมดได้ภายใน 25 ปี แต่ในการหารือเมื่อวันที่ 30 ม.ค.ไม่ได้มีแนวคิดเรื่องการดึงเงินสำรองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง
นายประสาร กล่าวว่า ระหว่างการหารือกับรมว.คลัง ยังได้นำข้อกังวลของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์กับสถาบันเฉพาะกิจของรัฐบาลขึ้นหารือด้วย ซึ่งประเด็นนี้ยังเกี่ยวโยงไปถึงความเป็นห่วงของกนง.ว่าส่งผ่านนโยบายการเงินอาจไม่มีประสิทธิภาพมากนัก
ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นเรื่องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2555 นั้น ตามกระบวนการแล้วคงต้องรอดูว่าท้ายสุดศาลรัฐธรรมนูญจะรับเรื่องร้องเรียนหรือไม่ หากศาลฯ รับ กระบวนการทำงานทุกอย่างคงต้องหยุดไว้ก่อนจนกว่าศาลฯ จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น แต่ในระหว่างที่ศาลฯ ยังไม่รับเรื่อง การทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมยังสามารถทำต่อไปได้