นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในการหารือกับนายกรรัฐมนตรีเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้รายงานสถานการณ์เงินเฟ้อว่าในระยะ 6 เดือนข้างหน้า เงินเฟ้อยังไม่ได้เป็นปัญหารุนแรง และยังไม่จำเป็นต้องดำเนินนโยบายที่ครอบคลุมเป็นการทั่วไป เช่น นโยบายดอกเบี้ย หรือ นโยบายภาษี แต่หากจะทุเลาปัญหาผู้ที่เดือดร้อนก็สามารถทำได้ เช่น รัฐบาลสามารถชะลอนโยบายจะปรับโครงสร้างพลังงานออกไป โดยพิจารณาหาจังหวะที่เหมาะสม เนื่องจากราคาน้ำมันขณะนี้ได้ปรับสูงขึน
ทั้งนี้ จากการพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลต่อเงินเฟ้อในแง่อุปทาน พบว่าราคาอาหารทั่วไป ผลผลิตทางเกษตร มีแนวโน้มลดลง ไม่ได้ผลักดันให้เกิดเงินเฟ้อ เพราะหลังน้ำท่วม ภาคการผลิตได้กลับมาเป็นปกติ การขนส่งดีขึ้น แต่มีแรงกดดันจากราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในต่างประเทศ โดยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นไม่ได้มาจากพื้นฐานจากอุปสงค์และอุปทาน แต่เกิดการเก็งกำไรจากปัญหาของอิหร่าน ทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสุงขึ้นมาอยู่ที่ 120 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันคงอยู่ในระดับสูงไม่นาน เพราะพื้นฐานอุปสงค์และอุปทานไม่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับ ธปท.ได้ทดสอบว่าหากราคาน้ำมันปรับขึ้นถึง 140 เหรัยญ/บาร์เรลเงินเฟ้อก็ยังอยู่ในกรอบ
ส่วนปัจจัยด้านอุปสงค์ที่มีต่อเงินเฟ้อ ซึ่งต้องติดตามมานตรการภาครัฐ เช่น การใช้จ่ายภาครัฐ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อช่วยเหลือผู้รายได้ต่ำ ขณะเดียวกันให้ความสำคัญในการเพิ่มผลิตภาพ เพื่อจะไม่เป็นแรงส่งต่อเงินเฟ้อ เพียงแต่ต้องใช้เวลาดำเนินการ ส่วนการคาดการณ์เงินเฟ้อ ขณะนี้ยังมีเสถียรภาพยังไม่เป็นปัญหา
การกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อในปี 55 นั้น ธปท.จะนำเสนอต่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 21 มี.ค. นี้ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการคงใช้กรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานต่อไปอีก 1-2 ปี ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เนื่องจากขณะนี้ราคาน้ำมันและราคาอาหารมีความผันผวน และรัฐบาลอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ประกอบกับ ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมาใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อพื้นฐาน จึงต้องให้เวลาประชาชนทำความเข้าใจ
"ในช่วงบ่ายวันนี้ ทางเจ้าหน้าที่จะมีการคุยกัน เพื้อนำผลสรุปเข้าที่ประชุมสัปดาห์หน้า หากกระทรวงคลังยังติดใจกับการใช้เงินเฟ้อทั่วไป ก็จะเสนอทางเลือกให้ช่วงนี้ใช้เงินเฟ้อพื้นฐานไปก่อน และกำหนดเวลาในอีก 1-2 ปี ที่จะใช้เงินเฟ้อทั่วไป...ปกติ กนง.ก็ดูทั้งสองด้าน" นายประสาร กล่าว
ผู้ว่า ธปท. กล่าวอีกว่า ขณะนี้ธปท.ได้รับอนุญาตจากทางการจีนให้เป็นผ้ลงทุนในหลักทรัพย์สกุลเงินหยวนในจีนที่ซื้อขายในตลาด Exchange (QFII) ซึ่งอนุญาตลงทุนได้ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ วงเงิน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่กฎหมายไทยไม่อนุญาตให้ธปท.ให้ลงทุนในหุ้น นอกจากนี้ ยังอนุญาตให้ซื้อขายในอินเตอร์บอนด์ มาร์เก็ต วงเงิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย ธปท.เตรียมพิจารณาลงทุนเร็วๆนี้
ทั้งนี้ การที่นำเงินสำรองระหว่างประเทศไปลงทุนในตลาดพันธบัตรของจีน ซึ่งมองว่าในอนาคตสกุลเงินหยวนจะมีบทบาทมากขึ้นและจะเป็นสกุลเงินที่มีความมั่นคงพอสมควร รวมทั้งถือเป็นการกระจายการลงทุนเพื่อประโยชน์ธปท.