นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในปี 2555 เกือบทุกธนาคารมีแผนที่จะเพิ่มเงินกองทุนเพื่อเสริมฐานะให้มีแข็งแกร่ง และส่วนหนึ่งเป็นการเตรียมเงินทุนไว้รองรับความต้องการใช้สินเชื่อของภาคธุรกิจที่ขยายตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจซึ่งสอดคล้องกับคาดการณ์ของธปท.ว่าโตที่ระดับ 5.7% จากมุมมองเดิมที่ 4.9% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ความต้องการเพิ่มทุนดังกล่าวไม่ได้เป็นผลจากระดับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์ (BIS) ต่ำกว่าระดับที่ธปท.กำหนด 8.5% แต่อย่างใด เพราะธนาคารพาณิชย์อยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำทุกแห่ง โดย ธปท.เข้าไปตรวจสอบฐานะของธนาคารพาณิชย์เป็นปกติทุกปี หรือเมื่อมีวิกฤตในด้านต่างๆ กระทั้งข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขต่างๆกัน ที่อาจจะมากระทบฐานะหรือเสถียรภาพของสถาบันการเงิน ซึ่งมีการทำแบบทดสอบภาวะวิกฤต(Stress test)ในด้านฐานะของธนาคารด้วยซึ่งยืนยันว่าขณะนี้ทุกแห่งมีความแข็งแกร่งทางด้านฐานะมาก
นายเกิรก กล่าวว่า ในการเพิ่มทุนของธนาคารไม่จำเป็นว่าต้องฐานะแย่แล้วจึงเพิ่มทุน เพราะตามหลักถ้าธุรกิจหรือสินเชื่อขยายตัวได้ดี อย่างปี 2554 ที่ผ่านมาสินเชื่อทั้งระบบขยายตัวเฉลี่ยสูงถึง 15% ซึ่งการที่สินเชื่อโตได้ดีก็ย่อมทำให้เงินกองทุนที่อยู่ลดลงโดยอัตโนมัติ จึงเป็นเรื่องปกติที่ทุกธนาคารต้องเตรียมเงินทุนกันไว้ให้เพียงพอการทำธุรกิจจะได้ไม่สะดุด และเท่าที่ประเมินเบื้องต้นคาดว่าสินเชื่อปีนี้น่าจะขยายตัวประมาณ 1 เท่ากว่าๆ ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือ ประมาณ 6-7% แต่การขยายตัวจริงๆอาจจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ธนาคารและประเภทสินเชื่อ
“ในการมาพูดคุยกับธปท.ทุกแบงก์ที่เข้ามาคุยก็มีการพูดคุยถึงแผนการเพิ่มทุนทั้งนั้น เพราะส่วนใหญ่อยากมีทุนเกินเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อให้ดูว่ามีความเข้มแข็ง และรองรับการขยายตัวของสินเชื่อ และมีให้เพียงพอรองรับวิกฤตวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด แต่บางแบงก์อยากมีทุนอยู่ 12% แบงก์ก็ต้องเผื่อไว้สัก 15% เพราะทำ Stress test แล้ว ทุนอาจจะลดเหลือ 12% ต้องมีเผื่อไว้ และทุกแบงก์ก็มีไว้เผื่ออยู่แล้ว ไม่น่าห่วงเรื่องฐานะ“ นายเกริกกล่าว
อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังคงติดตามการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปอย่างต่อเนื่องว่า จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยอย่างไร โดยในระยะสั้นต้องติดตามผลกระทบที่อาจมีธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกรรมกับยุโรปว่ามากน้อยแค่ไหน และในระยะปานกลางจนถึงที่สุดแล้วจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร แต่ยังไม่จำเป็นถึงขั้นที่ต้องให้ธนาคารพาณิชย์ทำแบบทดสอบภาวะฉุกเฉินเป็นกรณีพิเศษ
“ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปคงไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจไทย ที่ยังขยายตัวได้ดี เห็นได้จากอัตราการขยายตัวของสินเชื่อก็เติบโตต่อเนื่อง โดยปีนี้มองว่าสินเชื่อน่าจะขยายตัวได้สูงกว่าหนึ่งเท่าของประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่คาดไว้ 5.7% ทั้งยังไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพราะเมื่อเศรษฐกิจในประเทศดี ปัญหาหนี้เสียก็จะน้อยลง"นายเกริก กล่าว