นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมฯได้มีการพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาสับปะรดปี 2555 และได้มีมติเห็นชอบโครงการรับซื้อสับปะรดออกนอกระบบ ซึ่งคาดว่าจะมีผลผลิตสับปะรดเกินความต้องการอยู่ประมาณ 200,000 ตัน เพื่อนำไปทำปุ๋ย ผลิตอาหารสัตว์และเข้าโรงงานแปรรูปสับปะรดกระป๋อง รวมทั้งมอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ขยายเวลาการทำ Packing Credits ให้กับทางโรงงานไปจนถึงสิ้นปีด้วย โดยแนวทางดำเนินการนำผลผลิตที่รับซื้อไปแปรรูปนั้น ได้มอบหมายให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) ทั้ง 20 จังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตสับปะรด เป็นผู้บริหารจัดการโครงการรับซื้อสับปะรดออกนอกระบบ เป็นผู้รับซื้อสับปะรดคุณภาพดีจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 4 บาท ปริมาณ 200,000 ตัน
โดยในวันจันทร์ที่ 2 เมษายนนี้ จะเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบอนุมัติเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (งบกลาง) จำนวน 800 ล้านบาท
นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ คาดการณ์สถานการณ์ผลผลิตสับปะรดที่จะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายนวันละ 9,500 — 10,000 ตัน ขณะที่โรงงานแปรรูปสับปะรดมีความต้องการใช้ 7,000 ตัน ซึ่งสถานการณ์ปกติโรงงานจะมีความต้องการใช้วันละ 10,000 ตัน แต่ปี 2555 การส่งออกซบเซา และมีสต็อกคงเหลือจึงปรับลดการผลิตจากสถานการณ์ปกติ ทำให้เกินความต้องการของโรงงานแปรรูปสับปะรด ขณะเดียวกัน ราคาสับปะรดที่เกษตรกรขายได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากราคากิโลกรัมละ 5.51 บาท ในปี 2553 เป็นกิโลกรัมละ 4.92 บาท และลดลงเหลือกิโลกรัมละ 2.92 บาท ในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมีนาคม และในช่วงเดือนเมษายน — มิถุนายน ซึ่งจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากคาดว่าราคาจะมีแนวโน้มลดลงอีก
ดังนั้น มาตรการรับซื้อผลผลิตสับปะรดออกนอกระบบนั้น จะช่วยแก้ไขปัญหาสับปะรดส่วนเกิน และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาราคาสับปะรดตกต่ำ และที่สำคัญคือช่วยลดผลกระทบต่อเกษตรกรอีกด้วย โดยผลการหารือในครั้งนี้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความพอใจและเห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว ขณะเดียวกันมาตรการดังกล่าวยังช่วยกระตุ้นตลาดการส่งออกให้ดีขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย