ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มสัปดาห์หน้า (7-11 พ.ค.) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 30.70-31.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยคงต้องจับตาการตอบรับของตลาดการเงินหลังการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเม.ย.ของสหรัฐฯ ผลการเลือกตั้งในฝรั่งเศสและกรีซ รวมถึงประเด็นแวดล้อมของวิกฤตหนี้ยุโรป ขณะที่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนพ.ค. จัดทำโดยรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน ดัชนีราคาผู้ผลิต และงบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนเม.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ อนึ่ง ตลาดการเงินในประเทศ จะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 7 พ.ค. 2555 เนื่องในวันชดเชยวันฉัตรมงคล
เงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าลงกว่า 30.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทขยับแข็งค่าช่วงสั้นๆ ต้นสัปดาห์ ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ หลังจากที่ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 1/2555 ของสหรัฐฯ ที่ขยายตัวต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ทำให้ตลาดยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เฟดอาจมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือผ่อนคลายนโยบายการเงินอีกในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงในช่วงกลาง-ปลายสัปดาห์ เช่นเดียวกับสินทรัพย์เสี่ยงและสกุลเงินในเอเชีย ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและวิกฤตหนี้ยูโรโซน ในวันศุกร์ (4 พ.ค.) เงินบาทอยู่ที่ 30.94 เทียบกับระดับ 30.77 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (27 เม.ย.)
ส่วนตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ลดช่วงบวกลง จากแรงขายทำกำไร ท่ามกลางความกังวลต่อเศรษฐกิจยุโรป โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1,227.41 จุด เพิ่มขึ้น 1.29% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 22.71% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 35,270.59 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ ขณะที่ นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 306.93 จุด เพิ่มขึ้น 0.13% จากสัปดาห์ก่อน
"ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นในช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ โดยได้รับแรงหนุนจากเงินทุนไหลเข้า ก่อนที่จะปรับลดลงช่วงท้ายสัปดาห์ จากการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ที่น่าผิดหวัง และเครื่องชี้ภาคการผลิตในยูโรโซนที่หดตัวลง ซึ่งกดดันหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้ การลดช่วงบวกของดัชนียังเป็นผลจากแรงขายทำกำไรหลังราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปค่อนข้างมากอีกด้วย"
สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ระหว่างวันที่ 8-11 พ.ค. 2555 บล.กสิกรไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ดัชนีมีโอกาสผันผวนและอาจมีการปรับฐานได้ ท่ามกลางความวิตกต่อเศรษฐกิจหลักที่ยังคงเปราะบาง โดยต้องจับตาผลการเลือกตั้งฝรั่งเศส และกรีซ ในวันที่ 6 พ.ค. รวมถึง ผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนี สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดการขอสินเชื่อบ้าน (MBA Mortgage) ดัชนีราคาผู้ผลิต และความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Mich.) ทั้งนี้ คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,207 และ 1,166 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,238 และ 1,248 จุด ตามลำดับ