นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ว่า ที่ประชุมห็นชอบให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮออล์ ดีเซล เพื่อรักษาระดับอัตราเงินเฟ้อ และบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน และส่งผลให้ราคาชขายปลีกน้ำม้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กองทุนน้ำมันฯติดลบ 2.3 หมื่นล้านบาท หากมีการยืดระยะเวลาการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯไปอีก 3 เดือน จะไม่ทำให้การติดลบของกองทุน้ำม้นฯเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด จากการประเมินเบื้องต้น คาดว่าการติดลบของกองทุนน้ำมันฯ จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกันที่ 2.3 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) เพื่อให้คงอัตราการขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(NGV)และราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) ภาคขนส่งให้คงไว้เป็นระยะเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค.55 เพื่อรอให้การศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซแล้วเสร็จ
ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถนำผลการประชุมเสนอให้ กพช.และคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยเป็นเร่งด่วนที่จะต้องทำให้เสร็จก่อนวันที่ 16 พ.ค.นี้
ขณะที่ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการชดเชยราคาน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง วงเงิน 180 ล้านบาท ซึ่งจะชดเชยจนถึง ก.ย.นี้
นอกจากนี้ กบง.ยังเห็นชอบอนุมัติเงิน 13.58 ล้านบาทในการดำเนินงานโครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG ข้ามสาขา และลักลอบส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน โดยวงเงินดังกล่าวจะใช้เป็นเบี้ยเลี้ยงให้แก่ตำรวจ เพื่อสนับสนุนการทำงานระยะเวลาดำเนินการ 7 เดือน
นายอารักษ์ กล่าวว่า ที่ประชุมหารือถึงการทบทวนการขึ้นค่า FT งวดใหม่ที่กำหนดไว้ 30 สตางค์/หน่วย โดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติ (กกพ.) ดำเนินการประชุมในวันที่ 10 พ.ค.นี้ ซึ่ง กกพ.ได้มีการสำรวจความเห็นของประชาชนเรื่องการปรับขึ้นค่า FT พบว่าประชาขนกว่า 60% ไม่เห็นด้วย เนื่องจากในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.เป็นช่วงหน้าร้อน การใช้ไฟฟ้าในปริมาณสูง ซึ่งมีภาระจ่ายค่าไฟมากอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม หากมีการตัดค่า FT งวดใหม่ที่จะปรับขึ้นออกไปทุกๆ 1 สต.จะทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องแบกรับภาระราว 500 ล้านบาท