นายทรงภพ พลจันทร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการปิโตรเลียมเห็นชอบการเปิดสัมทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 จำนวน 22 แปลงแล้ว โดยเตรียมเสนอ รมว.พลังงานพิจารณา หากเห็นชอบก็คาดว่าจะประกาศเชิญชวนในเดือนก.ค.55 โดยหลักเกณฑ์คุมเข้มการขอสัมปทานเพื่อเก็งกำไรและเพิ่มโบนัสปิโตรเลียมสร้างรายได้แก่ประเทศ ทั้งนี้สัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ดังกล่าว แบ่งเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 11 แปลง ภาคกลาง 6 แปลง และอ่าวไทย 5 แปลง
สำหรับหลักเกณฑ์หลักที่จะเปิดสัมปทานรอบที่ 21 มีหลายด้านเปลี่ยนแปลงไป เพราะไม่ต้องการเห็นผู้ที่มาขอสัมปทานเพื่อหวังนำใบสัมปทานไปขายต่อเพื่อเก็งกำไร หรือป้องกันการที่เข้ามาขอแล้วไม่มีการลงทุนจริง ทำให้ประเทศชาติเสียประโยชน์จากการเก็บข้อมูลการสำรวจทรัพยากร จึงกำหนดให้ผู้มาขอสัมปทานจะต้องวางบริดจ์บอนด์ 3 ล้านบาท จากเดิมที่วางเงินขอสัมปทานเพียง 10,000 บาท โดยในส่วนนี้หากผู้ขอไม่ใด้สัมปทานก็จะคืนให้
นอกจากนี้ ผู้ขอสัมปทานจะต้องมีการทำแบงก์การันตีตามปริมาณการลงทุนขั้นต่ำ กำหนดรายละเอียดให้ผู้ขอสัมปทานจะต้องเสนอโบนัสการผลิตแก่ภาครัฐเพิ่ม โดยทุก 1 ล้านบาร์เรลที่พบจะต้องให้โบนัสเพิ่มแก่รัฐเท่าใดเพื่อเป็นการประกอบการตัดสินใจในการให้สัมปทาน ซึ่งสัมปทานรอบนี้ยังคงค่า k (การคงสภาพทางธรณีวิทยา)และ srb (เงินผลประโยชน์ลดหย่อนพิเศษ)ในสัดส่วนที่เท่าเดิม
นายทรงภพ กล่าวว่า แหล่งสัมปทานที่เปิดครั้งนี้ได้คัดแหล่งที่มีศักยภาพที่ดี หากมีผู้ขอทั้งหมด การลงทุนสำรวจแต่ละแหล่งเบื้องต้น 3-5 ล้านดอลลาร์ ก็จะลงทุนอย่างน้อย 60 ล้านดอลลาร์ เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยและการสำรวจสัมปทานครั้งนี้ยังกำหนดให้ผู้ขอส่งภาพสำรวจทางธรณีวิทยาให้ด้วยเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับประเทศไทย
การประมูลครั้งนี้ค่าภาคหลวงและภาษีปิโตรเลียมยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะมีเสียงวิพากษณ์วิจารณ์จากสังคมค่อนข้างมากก็ตาม เพราะผลประโยชน์ตอบแทนของไทยจากปิโตรเลียมเมื่อเทียบกับทั่วโลกอยู่ในระดับกลางทั้งที่แหล่งปิโตรเลียมของไทยเล็ก ซึ่งรอบนี้บางแหล่งมีสำรองประมาณ 0.3 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และยังต้องทำประชาพิจารณ์ด้านสิ่งแวดล้อม(EIA)ที่เข้มข้น ความเสี่ยงด้านการลงทุนสำรวจจึงอยู่ในอัตราสูง โดยการมองผลประโยชน์ตอบแทนต่อประเทศทั้งมองทั้งระบบ ซึ่งประเทศไทยจะได้รับผลตอบแทนเป็นสัดส่วนรายได้สัมปทานถึง 55-60% ส่วนผู้ประกอบการได้ผลตอบแทนเพียง 40-45%
ทั้งนี้ในปี 54 รัฐบาลได้ผลตอบแทนจากสัมปทานปิโตรเลียม 147,000 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าภาคหลวง 60,000-70,000 ล้านบาทได้ และภาษีเงินได้ 80,000 ล้านบาท