นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. บางจากปิโตรเลียม(BCP) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าโรงกลั่นจะมีการขาดทุนสต็อกของผู้ค้าน้ำมัน แต่ในส่วนของบางจากคาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะบริษัทได้มีการเตรียมพร้อมทั้งการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน(hedging) และทำสัญญาขายน้ำมันเตาล่วงหน้าที่ได้ราคาสูง รวมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นเพื่อให้สามารถรองรับน้ำมันดิบจากรัสเซียได้ ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าเดิมที่รับน้ำมันดิบจากมาเลเซีย
ดังนั้น ทำให้ค่าการกลั่นรวม(GIM)ของบริษัทในช่วงไตรมาส 2/55 น่าจะอยู่ที่ 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และค่าการกลั่นเฉลี่ยครึ่งปีหลังคาดว่าจะอยู่ที่ 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ต้นทุนน้ำมันของบางจากฯ อยู่ที่ 106 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หากราคาน้ำมันในช่วงปลายปีสูงขึ้นกว่าระดับดังกล่าว ก็จะทำให้บริษัทมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน แต่หากลดลงต่ำกว่า 106 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็อาจขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันบ้าง
สำหรับค่าการตลาดน้ำมันในขณะนี้ กลุ่มเบนซินอยู่ที่ 2.20 บาท/ลิตร ดีเซลอยู่ที่ 1.60 บาท/ลิตร แต่คาดว่าในวันนี้ค่าการตลาดจะลดลง หลังจากที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับสูงขึ้น ซึ่งบริษัทคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในช่วงไตรมาส 4/55 จะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แม้ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาราคาน้ำมันในตลาดโลกจะลดลงกว่า 20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และราคาน้ำมันดิบดูไบลงมาอยู่ที่ 97 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลก็ตาม
ส่วนความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์(โซลาร์เซลล์)แห่งแรกในเดือน ก.ค.นี้จะแล้วเสร็จ 38 เมกะวัตต์ ขณะที่โรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ที่ จ.ชัยภูมิ 25 เมกะวัตต์ จะแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค.นี้ และที่ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา 25 เมกะวัตต์ จะแล้วเสร็จในเดือน ก.พ.56 ดังนั้น จะส่งผลให้บางจากมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) จะอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท/ปี
นอกจากนี้ ในปี 57 บางจากยังมีแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์อีก 75 เมกะวัตต์ รวมแล้วจะเป็น 170 เมกะวัตต์ จะส่งผลให้บางจากฯ มี EBITDA เพิ่มเป็น 2,800 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม บางจากฯจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งในปี 58จะอยู่ที่ 50% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งในปีนี้บางจากมีรายได้ส่วนใหญ่จากธุรกิจโรงกลั่น 75% ทั้งนี้การเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าจะช่วยลดความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่ผันผวน