กระทรวงพาณิชย์ เผยภาวะการค้าต่างประเทศในเดือน พ.ค.55 การส่งออกมีมูลค่า 20,932 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.68% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 22,672 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 18.17% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 1,739 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่การส่งออกในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-พ.ค.55) มีมูลค่า 92,494 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 1.47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 102,288 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 11.55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ดุลการค้าช่วง 5 เดือนแรก ขาดดุลรวมทั้งสิ้น 9,794 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สาเหตุที่ภาวะการส่งออกในเดือน พ.ค.55 กลับมาฟื้นตัวและขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยในช่วงปลายปี 54 เริ่มกลับมาทำการผลิตและสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลให้ภาวะการส่งออกในเดือนถัดๆ ไปกลับมาขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ และคาดว่า ภาวะการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวดีขึ้น เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อมาผลิตแล้วส่งออกเป็นจำนวนมาก และยังคงยืนยันเป้าหมายการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวที่ระดับ 15% ตามเดิม
"การส่งออกในเดือนพฤษภาคมกลับมาขยายตัวดีขึ้น คาดว่าช่วงครึ่งปีหลังการส่งออกน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ และยังคงเป้าหมายไว้ที่ 15% จะพยายามทำให้ได้" นายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ กล่าว
รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับทูตพาณิชย์ทั่วโลกในวันที่ 30 มิ.ย. 55 เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจ และสอบถามถึงปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับการส่งออก เพื่อผลักดันให้การส่งออกในปีนี้ขยายตัวตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
สำหรับเดือน พ.ค.55 การส่งออกหมวดสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตร ภาพรวมลดลง 5% โดยสินค้าส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว -29%, ยางพารา -27.5% ส่วนสินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง +7%, น้ำตาล +11.8%, สินค้าอาหาร +13.4% ได้แก่ อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป +11.7%, ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป +22.9%
ส่วนหมวดสินค้าอุตสาหกรรม ภาพรวมเพิ่มขึ้น 9.5 % โดยสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ +10.9%, เครื่องใช้ไฟฟ้า +11.8%, ยานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ +83.5%, ผลิตภัณฑ์ยาง +6.5%, เครื่องสำอาง +16.5%, อาหารสัตว์เลี้ยง +29.3 %, เครื่องกีฬา และเครื่องเล่นเกม +21.8% สินค้าส่งออกที่ลดลง ได้แก่ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก -2.7%, สิ่งทอ -10%, อัญมณีและเครื่องประดับ -22.3% และสิ่งพิมพ์ -74.2%
โดยตลาดหลักขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.5% ได้แก่ ญี่ปุ่น +5%, สหรัฐอเมริกา +10.9% และสหภาพยุโรปสมาชิกเดิม 15 ประเทศ +6.8% ส่วนตลาดศักยภาพสูงเพิ่มขึ้น 4.8% ได้แก่ อาเซียน +13.4%, จีน +22.3%, อินเดีย +16.5% ตลาดที่ลดลง ได้แก่ เอเชียใต้(ไม่รวมอินเดีย) -2.8%, ฮ่องกง -38.9%, เกาหลีใต้ -6.7%, ไต้หวัน -9.6%
และตลาดศักยภาพระดับรองเพิ่มขึ้น 22.7% ได้แก่ ทวีปออสเตรเลีย +51.1%, ตะวันออกกลาง +17.3%, แอฟริกา +22%, และลาตินอเมริกา +34.6%