นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า จากเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงกลั่นน้ำมันของบมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP) ซึ่งทำให้หน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 3 ต้องหยุดซ่อมแซมเป็นเวลา 1 เดือน และทำให้ปริมาณการกลั่นน้ำมันจะหายไปจากระบบประมาณ 8 หมื่นบาร์เรลต่อวันนั้น ขอยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ และประชาชนจะมีน้ำมันใช้เพียงพอต่อความต้องการอย่างแน่นอน
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีปริมาณการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 1 ล้านบาร์เรล/วัน จากโรงกลั่นทั้งหมด 6 โรง ซึ่งปริมาณการกลั่นของบางจากฯ อยู่ที่ 9.9 หมื่นบาร์เรล/วัน หรือคิดเป็น 9.9% ถือว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อปริมาณการผลิตน้ำมันโดยรวมของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยมีกำลังการผลิตจริงอยู่ที่ 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน อีกทั้งยังมีน้ำมันสำรองอย่างเพียงพอ ประกอบด้วย น้ำมันสำรองตามกฎหมายและน้ำมันสำรองเพื่อการค้าของผู้ค้าน้ำมันซึ่งจะสามารถรองรับผลกระทบดังกล่าวได้
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน ได้เตรียมแนวทางเพื่อรองรับผลกระทบดังกล่าวไว้ 3 แนวทาง ได้แก่ แนวทางที่ 1 สั่งการให้ BCP นำน้ำมันสำรองที่มีอยู่มาใช้ โดยแบ่งเป็นน้ำมันเบนซิน สามารถใช้ได้อีก 16 วัน น้ำมันดีเซลสามารถใช้ได้อีก 9 วัน และ น้ำมันเตาสามารถใช้ได้อีก 24 วัน
แนวทางที่ 2 ได้ขอความร่วมมือให้โรงกลั่นน้ำมันอื่นๆ เช่น บมจ.ไทยออยล์ (TOP) และ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) เพิ่มกำลังการผลิต โดยในเบื้องต้นจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 3.5 หมื่นบาร์เรล/วัน
แนวทางที่ 3 อนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันอื่น ที่รับน้ำมันจากโรงกลั่นบางจาก ได้แก่ บริษัท ปตท, บริษัท เซฟรอน และ บริษัท สยามเฆมี สามารถขอผ่อนผันนำน้ำมันสำรองที่มีอยู่มาใช้ได้
“กระทรวงพลังงาน ขอยืนยันว่า เหตุการณ์เพลิงไหม้โรงกลั่นน้ำมันบางจาก จะไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปของประเทศ เพราะมาตรการต่างๆจะสามารถรองรับความต้องการใช้น้ำมันในช่วงที่หน่วยกลั่นที่ 3 ของโรงกลั่นบางจากต้องหยุดการผลิตประมาณ 1 เดือน โดยไม่กระทบต่อการจัดหาและความต้องการใช้น้ำมันของประเทศอย่างแน่นอน" นายอารักษ์ กล่าว