คลัง ยันโครงการพักหนี้ฯ ไม่มีผลต่อเครดิตบูโร เผยส่วนใหญ่ขอพักต้น-ลดดบ.

ข่าวเศรษฐกิจ Friday August 10, 2012 16:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท สำหรับลูกหนี้ที่มีหนี้สถานะปกติว่า ลูกหนี้สามารถเลือกพักเงินต้นและลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรือ ลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี โดยไม่พักเงินต้น เป็นระยะเวลา 3 ปี (ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2555ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2558) โดยได้เริ่มให้ลูกหนี้ที่สนใจยื่นแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2555 จนถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2555

สำหรับผลการดำเนินโครงการพักหนี้ฯ ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2555 มีลูกหนี้มาแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 2,235,9245 ราย คิดเป็นร้อยละ 70.60 ของจำนวนลูกหนี้ที่มีสิทธิทั้งหมด เป็นมูลหนี้จำนวน 259,359.07 ล้านบาท โดยลูกหนี้ที่เลือกพักเงินต้นและลดดอกเบี้ย (ทางเลือกที่ 1) จำนวน 1,937,068 ราย หรือร้อยละ 86.63ของลูกหนี้ที่ได้แสดงความจำนงแล้วทั้งหมด คิดเป็นมูลหนี้ 227,753.56 ล้านบาท และลูกหนี้ที่เลือกลดดอกเบี้ยโดยไม่พักเงินต้น (ทางเลือกที่ 2) จำนวน 298,856 ราย หรือร้อยละ 13.37 ของจำนวนลูกหนี้ที่ได้แสดงความจำนงแล้วทั้งหมด โดยเป็นมูลหนี้ 31,605.51 ล้านบาท

ทั้งนี้ ลูกหนี้ ธ.ก.ส. ที่แสดงความจำนงเข้าโครงการได้เลือกพักเงินต้นและลดดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 87.03 และเลือกลดอัตราดอกเบี้ยโดยไม่พักเงินต้นร้อยละ 12.97 ในขณะที่ลูกหนี้ของธนาคารออมสิน ธพว. และ ธอท. มีแนวโน้มที่จะเลือกลดอัตราดอกเบี้ยโดยไม่พักเงินต้นเป็นส่วนใหญ่

ด้านนายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ยืนยันว่า เรื่องนี้จะไม่ส่งผลต่อการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินในอนาคตแน่นอน เพราะเป็นการพักชำระหนี้ดี โดยลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการจะไม่มีการบันทึกประวัติการค้างชำระ (Default in Payment) อย่างเด็ดขาด จะมีก็แต่เพียงระบุว่า บัญชีสินเชื่อนี้มีการพักชำระหนี้ตามนโยบายของรัฐเท่านั้น และยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีผลเสียต่อการขอสินเชื่อกับสถาบันเงินอื่นอย่างแน่นอนซึ่งกลับจะเป็นผลดีเสียอีก หากสถาบันการเงินอื่นเข้ามาเห็นก็จะพบว่าเป็นลูกค้าดีของโครงการ อีกทั้งมีการลดดอกเบี้ย เท่ากับว่าลูกหนี้มีกำลังส่งกำลังผ่อนมากขึ้น เพราะการพิจารณาสินเชื่อนั้นจะดูความสามารถในการชำระหนี้เป็นลำดับแรก ดูหลักประกันเป็นประการที่สอง และดูประวัติการค้างชำระหนี้เป็นประการสุดท้าย เมื่อไม่มี ประวัติการค้างชำระหนี้เพราะเป็นหนี้ดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องมีความกังวลใจ เรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง

ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ลูกหนี้ กระทรวงการคลังได้เร่งรัดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับลูกหนี้อย่างเร่งด่วนและทั่วถึง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ