กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านในเดือนก.ค.อยู่ที่ 746,000 ยูนิต ลดลง 1.1% จากเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังนับว่าแข็งแกร่ง บ่งชี้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้ว่าจะเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นบ้างก็ตาม
ทั้งนี้ ตัวเลขเดือนที่แล้วลดลงมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 0.5% สู่ระดับ 756,000-757,000 ยูนิต ขณะที่ตัวเลขเริ่มสร้างบ้านซึ่งพุ่งสูงขึ้นในเดือนมิ.ย.ก็ถูกปรับทบทวนลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 754,000 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้น 6.8% จากเดือนก่อนหน้า
ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านในเดือนก.ค.จะเพิ่มขึ้นถึง 21.5% แต่การสร้างบ้านก็ยังอยู่ต่ำกว่าระดับที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่าแข็งแกร่งถึงครึ่งหนึ่ง
การเริ่มสร้างบ้านสำหรับครอบครัวเดี่ยวอยู่ที่ระดับ 502,000 ยูนิตในเดือนก.ค. ลดลง 6.5% จากระดับ 537,000 ยูนิตในเดือนมิ.ย.
อย่างไรก็ดี ในขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์ได้เปิดเผยในวันนี้ว่า ตัวเลขการอนุญาตก่อสร้างอยู่ที่ 812,000 ยูนิตในเดือนก.ค. พุ่งขึ้น 6.8% จากเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2551 หรือในรอบ 4 ปี และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.3% สู่ระดับ 770,000 ยูนิต ขณะที่เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตัวเลขการอนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้น 29.5%
นับตั้งแต่ปี 2550 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการสร้างบ้านในสหรัฐประสบภาวะซบเซารุนแรงสุดในรอบหลายทศวรรษ โดยราคาบ้านที่ปรับตัวลดลง สินเชื่อที่ยังตึงตัว และจำนวนบ้านถูกยึดที่ยังขายทอดตลาดไม่ได้นั้น ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ อย่างไรก็ดี สถานการณ์ดังกล่าวเริ่มกระเตื้องขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
การเปิดเผยข้อมูลข้างต้นมีขึ้นหลังจากที่วานนี้ สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐ เพิ่งเปิดเผยว่า ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของผู้สร้างบ้านเกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐ ปรับตัวสูงขึ้น 2 จุด สู่ระดับ 37 ในเดือนส.ค. ซึ่งนอกจากดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยจะเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันแล้ว ยังเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2550 และเหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งที่คาดว่าตัวเลขจะอยู่ระหว่าง 34-35