(เพิ่มเติม) บสก.มองหา FA ดันเข้าตลาดหุ้นราว Q4/56 หวังดึงแบงก์ถือหุ้น-เป็นพันธมิตร

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday September 27, 2012 16:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมร่างหลักเกณฑ์เพื่อคัดเลือกที่ปรึกษาทางการเงินในการแปรรูปบริษัทและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยคาดว่าจะใช้เวลาเตรียมการทั้งหมดราว 14 เดือนและจะสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์อย่างเร็วที่สุดช่วงไตรมาส 4/56

"ตอนนี้คืบหน้าไปมากแล้ว อยู่ในขั้นตอนการจัดหาที่ปรึกษา เราตั้งกรรมการขึ้นมาแล้วจะเรียกประชุมกันในวันที่ 1 ต.ค.คงจะสามารถประกาศร่าง TOR ขอบเขตงานในเร็ว ๆ นี้ น่าจะใช้เวลาเร็วสุด 14 เดือนเข้าตลาดหุ้น หรือราวปีหน้าในไตรมาส 4 คิดว่าไม่มีอุปสรรคอะไรแล้ว...FA จะต้องตอบโจทย์ว่าเมื่อเข้าตลาดหุ้นแล้วทางการจะได้อะไรจากดีลอันนี้"นายกฤษณ์ กล่าว

บริษัทหวังว่าการเข้าตลาดหลักทรัพย์จะทำให้มีทางเลือกในการระดมทุนเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ทำได้เพียงการออกตราสารทางการเงิน ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการระดมทุน(Cost of Fund)อยู่ในระดับต่ำ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุด

ขณะเดียวกันก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทมีสถาบันการเงินเข้ามาถือหุ้นและเป็นพันธมิตรที่จะเกื้อหนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เดินคู่ขนานกันไปได้ เพราะสถาบันการเงินสามารถใช้บริษัทเป็นองค์กรรองรับหนี้เสียมาบริหาร ซึ่งจะลดภาระในการทำธุรกิจไปได้มาก ส่วนบริษัทก็จะมีแหล่งสินเชื่อเข้ามารองรับการซื้อทรัพย์ของลูกค้า

"ต่างคนต่างได้รับประโยชน์ เขาขาย NPL-NPA ให้เราก็รับเงินสดกลับไป ที่ตั้งสำรองไว้ก็บันทึกกลับเป็นกำไร แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการตั้ง AMC ที่จะต้องมีปัญหาเรื่องการเชื่อมโยงทางบัญชี เราก็ได้ประโยชน์จากการมีพันธมิตรที่จะเข้ามาปล่อยกู้ให้กับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์จาก บสก. เรื่องพันธมิตรที่เคยแค่ซื้อสินทรัพย์มาบริหารก็จะ strong ขึ้น"นายกฤษณ์ กล่าว

นายกฤษณ์ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของสินทรัพย์และกำไรปีละไม่ต่ำกว่า 10% โดยในปีนี้บริษัทมีรายได้จากการบริหารสินทรัพย์ทั้งสินทรัพย์รอการขาย(NPA)และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ราว 12,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีกำไรตามเป้าหมายที่ 3.3 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มีกำไร 2.9 พันล้านบาท โดย ณ เดือน ส.ค.55 บริษัทมีกำไรแล้ว 2,696 ล้านบาท และกลางเดือน ก.ย.มีรายได้แล้ว 10,573 ล้านบาท

สำหรับพอร์ตสินทรัพย์ในขณะนี้เป็น NPL ทั้งเงินต้นและสิทธิเรียกร้องราว 3.3 แสนล้านบาท ซึ่งรวมหนี้ที่รับซื้อมาจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.) ขณะที่ NPA ตามราคาประเมินอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท โดยมีจำนวนลูกหนี้ประมาณ 45,000 ราย โดยทรัพย์ส่วนใหญ่กว่า 60% เป็นที่ดินเปล่า โดยเฉพาะที่ดินเพื่อการเกษตร

บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อหนี้ NPL จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY)และธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)รวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะสรุปได้ภายในปลายปีนี้ โดยหนี้ของ BAY เป็นสินเชื่อ SME ส่วนของ ธอส.จะเป็นสินเชื่อบ้าน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทที่จะหาสินทรัพย์เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ที่ 1.6 เท่า ต่ำกว่าที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้ให้นโยบายไว้ไม่เกิน 2.1 เท่า ดังนั้น บริษัทยังมีช่องว่างที่จะก่อหนี้ได้อีกเป็นหมื่นล้านบาท โดยบริษัทมีภาระหนี้ก้อนใหญ่ที่จะต้องไถ่ถอนตราสารทางการเงิน 1.9 หมื่นล้านบาทในปี 58 ซึงเป็นเงินที่ใช้ซื้อหนี้ของ บสท.เข้ามา แต่เชื่อว่ากระแสเงินสดที่มีจากรายได้ที่เข้ามาปีละไม่ต่ำกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท และมีภาระชำระดอกเบี้ยและเงินต้นปีละ 7 พันล้านบาท น่าจะทำให้บริษัทสามารถชำระหนี้ดังกล่าวได้อย่างแน่นอน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ