ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยรายงานที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)เมื่อวันที่ 17 ต.ค.โดยระบุว่า กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 3.00 เป็นร้อยละ 2.75 เนื่องจากเห็นสอดคล้องกันว่า เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง และผลกระทบต่อประเทศในภูมิภาคมีชัดเจน ภาคการส่งออกจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุปสงค์ในตลาดโลกมากขึ้น แต่เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล อย่างไรก็ดี กรรมการฯ มีความเห็นแตกต่างกันในการให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจและความจาเป็นในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในครั้งนี้ ดังนี้
กนง.5 ท่าน เห็นควรให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ต่อปี โดยประเมินว่า เศรษฐกิจภูมิภาคและเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลงมากเกินคาดจะทาให้การส่งออกและการผลิตเพื่อการส่งออกของไทยชะลอลงอีก แม้ขณะนี้อุปสงค์ภายในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนภาพรวมได้ แต่อาจไม่สามารถชดเชยผลกระทบจากภาคการส่งออกในระยะต่อไป เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชนเริ่มมีแนวโน้มแผ่วลง และแรงกระตุ้นจากมาตรการของภาครัฐ เช่น มาตรการภาษี จะทยอยหมดไป ขณะที่แผนการใช้จ่ายของภาครัฐแม้มีอยู่มากแต่คาดว่าจะเร่งใช้จ่ายได้ไม่มากในทางปฏิบัติ ดังนั้น จึงควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้เพื่อเสริมแรงส่งของอุปสงค์ภายในประเทศ และเป็นการส่งสัญญาณให้ภาคเอกชนปรับตัวเพื่อเตรียมรับมือกับความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
นอกจากนี้ กรรมการฯ 2 ท่านเห็นว่าการลดส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไทยกับต่างประเทศอาจช่วยชะลอการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศได้บ้าง แม้ว่าผลดังกล่าวอาจไม่มากเนื่องจากงานวิจัยชี้ว่าที่ผ่านมาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยมีผลต่อเงินทุนเป็นอันดับรองเมื่อเทียบกับปัจจัยอื่น เช่น การคาดการณ์แนวโน้มค่าเงิน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดเงินโลก และความแตกต่างของพื้นฐานและอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ส่วนกนง.เสียงข้างน้อย 2 ท่าน เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3.00 ต่อปี โดยให้เหตุผลว่า แม้เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่เริ่มมีสัญญาณปรับดีขึ้นบ้าง และอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าคาดว่าจะสูงกว่าในปีนี้เล็กน้อย นอกจากนั้น ความเสี่ยงที่จะเกิดกรณีเลวร้าย (tail risks) มีน้อยลงหลังประเทศ G3 ออกมาตรการต่างๆ เพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยแม้ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก แต่โดยรวมยังเติบโตอย่างสมดุล โดยอุปสงค์ในประเทศขยายตัวดีต่อเนื่องและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายใต้ภาวะการเงินที่ผ่อนปรนและการขยายตัวของสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินในระยะต่อไป จึงควรสงวนการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยไว้เพื่อรอดูความชัดเจนของความเสี่ยงในแต่ละด้าน