รมว.พลังงาน กล่าวว่า ในส่วนของการปรับราคาน้ำมันทั่วประเทศให้เป็นราคาเดียวนั้น ได้มอบหมายให้ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนท่อส่งน้ำมันเพิ่มเติมจากท่อหลักที่มีอยู่แล้ว ซึ่งขณะนี้มีแผนจะต่อท่อหลักไปยังภาคอีสานที่ จ.นครราชสีมา และภาคเหนือ ที่ จ.นครสวรรค์ จึงต้องการสร้างท่อย่อยเชื่อมโยงไปยังจังหวัดต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนที่อยู่พื้นที่ห่างไกลได้ใข้น้ำมันราคาถูกลงและเป็นราคาเดียวกับที่จำหน่ายในกทม. ทั้งนี้ การลงทุนในท่อเส้นใหม่ ๆ อาจจะต้องมีการตั้งบริษัทขึ้นมาดำเนินการ เพื่อให้คิดค่าผ่านท่อที่เหมาะสม
ส่วนการปรับราคา LPG นั้น มอบหมายให้กระทรวงพลังงานศึกษาว่าหากมีการปรับขึ้นราคาแล้วจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างไร และควรจะมีแนวทางช่วยเหลืออย่างไรหากมีการทยอยปล่อยลอยตัวราคาก๊าซ LPG เพราะปัจจุบันรัฐบาลมีการอุดหนุนไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงติดลบ 1.6 หมื่นล้านบาท และอีก 2 ปีข้างหน้าจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน AEC จะต้องมีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของกระทรวงพลังงานได้เสนอข้อมูลให้ตนได้รับทราบแล้วว่าจะมองไปที่กลุ่มผู้ยากจน ใช้เกณฑ์เดียวกับการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วย/เดือน และใช้ก๊าซไม่เกิน 6 กก./เดือน ซึ่งจะครอบคลุมประชาชน 4 ล้านครัวเรือน ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการอุดหนุนกิโลกรัมละ 1 บาท อาจะต้องใช้เงิน 720 ล้านบาท นอกจากนั้นกลุ่มที่ควรได้รับการสนับสนุน คือ ผู้ขายอาหารรายย่อย
โดยทั้งสองส่วนจะใช้วิธีการสนับสนุนผ่านบัตรเครดิตพลังงาน ซึ่งจะต้องมาขึ้นทะเบียนเพื่อทำบัตรเครดิตพลังงาน และนำบัตรไปใช้ซื้อก๊าซราคาถูก และกระทรวงพลังงานจะใช้วิธีตั้งวงเงินอุดหนุนผ่านบัตรเครดิต และกำหนดปริมาณการซื้อและการใช้ของผู้ที่ได้รับการสนับสนุน โดยประมาณการว่าจะต้องใช้เงินอุดหนุนไม่เกิน 5 พันล้านบาท/ปี
ด้านการปรับขึ้นราคา NGV นั้น ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมว่าขณะนี้มีผู้ขับขี่รถแท๊กซี่ใช้ก๊าซ NGV จำนวนเท่าใด และได้รับผลกระทบจำนวนเท่าใด ก่อนนำมากำหนดนโยบายว่าควรจปรับขึ้นราคา NGV อย่างไร
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า ได้มอบหมายให้เร่งศึกษาการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพิ่มจาก 36 เป็น 90 วัน เพราะเห็นว่ามีความจำเป็น และให้นำโครงการแลนด์บริดจ์มาเทียบเคียงว่าสามารถใช้ประโยชน์จากผลการศึกษาต่อการเพิ่มสำรองน้ำมันได้อย่างไร แต่เน้นย้ำว่าไม่ได้สั่งให้ดำเนินโครงการดังกล่าว เพียงแต่ให้นำผลศึกษาที่ทำไว้มาเทียบเคียงเพื่อใช้ประโยชน์บางส่วนเท่านั้น
ส่วนการกำกับดูแล บมจ.ปตท.(PTT)นั้น มีแนวคิดว่าเมื่อ ปตท.มีกำไรมากมายในแต่ละปี และถูกโจมตีจากสังคม ดังนั้นเพื่อให้ปตท.ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวและเข้ามาช่วยเหลือสังคมมากขึ้น จึงมอบหมายให้ ปตท.ศึกษาการจัดสรรงบประมาณจากกำไรมาทำเรื่อง CSR เพื่อตอบแทนประชาขน โดยอาจจะให้เงินทำวิจัยเพื่อพัฒนาสินค้าโอทอป หรือจัดพื้นที่บางส่วนในปั๊มน้ำมันเพื่อการจำหน่ายสินค้าโอทอป เป็นต้น
ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)จากแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า(PDP)ฉบับใหม่ที่กำหนดให้สร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินสะอาดนั้น นายพงษ์ศักดิ์ มองว่าหากเป็นเทคโนโลยีสะอาดจริงก็น่าจะดำเนินการได้ แต่ขณะนี้คนไทยอาจจะฝังใจกับโรงไฟฟ้าแม่เมาะเมื่อหลาย 10 ปี จึงต้องใช้ กฟผ.เร่งสร้างความเข้าใจมากขึ้น และเห็นด้วยกับการกระจายเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าและลดปัญหาราคาค่าไฟฟ้าที่จะสูงขึ้น จากการนำก๊าซธรรมชาติและพลังงานทดแทนมาผลิตไฟฟ้าในสัดส่วนมากขึ้น