อนึ่ง ภาครัฐ ได้ตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้ จำนวน 20.5 ล้านคน
ทั้งนี้ใน 10 เดือน พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่เดินทางมาไทย คือ กลุ่มเอเชียตะวันออกและอาเซียนประมาณ 10.0 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 56.4 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.3 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนนักท่องเที่ยวยุโรปหนีเครียดเที่ยวเมืองไทยกว่า 4.3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 24.1 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศที่ได้รับผลทางอ้อมจากวิกฤตยุโรป เช่น เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย ซึ่งทั้งสี่ประเทศเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักจากยุโรป
อย่างไรก็ตาม คาดว่าหากวิกฤตยุโรปยังไร้ทางออก นักท่องเที่ยวกลุ่มมีแนวโน้มลดลง ซึ่งกระทบกับรายได้จากการท่องเที่ยวเนื่องจากนักท่องเที่ยวยุโรปมีปริมาณการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อวันสูงกว่านักท่องเที่ยวจากชาติเอเชียตะวันออกและอาเซียน
สำหรับแนวโน้มปีหน้า World Economic Forum คาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 7.3 ต่อปี จากการศึกษาของ TMB Analytics พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 7.0 จึงคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวปี 2556 มีจำนวนประมาณ 22.5 ล้านคน
ด้านรายได้จากภาคการท่องเที่ยวปีนี้ คาดว่า จะมีรายได้ประมาณ 9.2 แสนล้านบาท เป็นรายได้ของธุรกิจโรงแรมและที่พัก 2.8 แสนล้านบาท ธุรกิจจำหน่ายสินค้า 2.2 แสนล้านบาท ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 1.7 แสนล้านบาท และธุรกิจอื่นๆ 2.5 แสนล้านบาท โดยธุรกิจในพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญจะได้รับผลดีโดยตรง คือ กรุงเทพ ชลบุรี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ กระบี่ สงขลา เป็นต้น
ล่าสุดภาครัฐตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้จากภาคการท่องเที่ยวเป็น 2.0 ล้านล้านบาท ในปี 2556 หรือเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 จากระดับรายได้ที่คาดการณ์ปีนี้ แต่จากการศึกษา พบว่า รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงร้อยละ 19 ต่อปีเท่านั้น
"หากภาครัฐไม่มีมาตรการและกลยุทธ์สนับสนุนภาคการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่มากขึ้นกว่าที่เคยดำเนินการ คาดว่ารายได้จากภาคท่องเที่ยวปีหน้าอยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นภาครัฐจึงจำเป็นต้องมีมาตรการเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวให้สูงขึ้นกว่าปีนี้" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
อย่างไรก็ตาม แม้ภาวะการท่องเที่ยวมีทิศทางสดใส แต่สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอาจไม่รู้สึกถึงแนวโน้มดังกล่าว เช่น ธุรกิจโรงแรมและที่พัก แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่าง 2550-2554 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 7.8 ต่อปี แต่พื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างโรงแรมและที่พักกลับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 31.4 ต่อปี ทำให้อัตราการเข้าพักโรงแรม (Occupancy Rate) ช่วงเวลาเดียวกันเฉลี่ยร้อยละ 50-60 เท่านั้น แสดงให้เห็นภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ในส่วนธุรกิจท่องเที่ยวอื่นๆ ถือเป็นภาคบริการที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงนัก ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ธุรกิจง่าย ธุรกิจจึงอยู่ในภาวะการแข่งขันที่สูงเช่นกัน
"ภาวะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเองมีความอ่อนไหวต่อภาวะแวดล้อมอย่างสูง เช่น ความวุ่นวายทางการเมือง ภัยธรรมชาติ โรคระบาด ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความพร้อมและความสมบูรณ์ของทรัพยากรการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการจึงต้องพร้อมรับความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเหล่านี้"
นอกจากนี้ความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการข้อตกลง AEC ในปี 2558 ซึ่งอนุญาตให้ผู้ลงทุนชาติสมาชิกสามารถถือหุ้นได้ถึงร้อยละ 70 ในธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ยิ่งกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการแข่งขันจากนักธุรกิจใน AEC สูงขึ้นอีก ผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยวจึงที่ต้องเร่งปรับตัวรับภาวะการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมถึงภาครัฐควรรักษาปัจจัยแวดล้อมให้เกื้อหนุนต่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นและสามารถแข่งขันได้ในอนาคต