คลังเผยที่ประชุมธนาคารกลางอาเซียน+3 เห็นชอบแผนพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเซีย

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 3, 2012 11:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนกระทรวงการคลังเข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance and Central Bank Deputies’ Meeting: AFCDM+3) ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2555 เพื่อพิจารณาการดำเนินงานมาตรการริเริ่มต่างๆ ภายใต้กรอบการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน+3 พร้อมทั้งหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ซึ่งมีประเด็นหลักสรุปได้ ดังนี้

1. ที่ประชุมได้หารือความคืบหน้าการดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพของมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) และการแก้ไขความตกลงCMIM เพื่อให้เป็นไปตามมติที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2555 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ที่ได้เห็นชอบให้เพิ่มขนาดของ CMIM จาก 120 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 240 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มสัดส่วนการให้ความช่วยเหลือส่วนที่ไม่เชื่อมโยงกับเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF Delinked Portion) และการจัดตั้งกลไกให้ความช่วยเหลือช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าการดำเนินการแก้ไขความตกลงฯ จะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นปี 2556

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบให้คณะทำงานศึกษาความเสี่ยงจากความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เข้าสู่ภูมิภาคเป็นจำนวนมากสืบเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียน+3 ในอนาคต

2. ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office: AMRO) ที่มีสำนักงานที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อให้ AMRO ทำหน้าที่วิเคราะห์และติดตามภาวะการณ์และระวังภัยทางเศรษฐกิจของสมาชิกอาเซียน+3 โดยเห็นชอบให้มีการเพิ่มจำนวนบุคลากรเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และได้อนุมัติงบประมาณการดำเนินงานในปี 2556 รวมทั้งได้มีการหารือถึงหลักการในการดำเนินการยกระดับให้ AMRO ให้เป็นองค์การระหว่างประเทศโดยเร็ว โดยได้มอบหมายให้คณะทำงาน CMIM จัดทำร่างความตกลงที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2556

3. ที่ประชุมได้หารือความคืบหน้าการดำเนินงานของมาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเซีย (Asian Bond Markets Initiative: ABMI) โดยได้ให้ความเห็นชอบรายละเอียดแผนการดำเนินการของคณะทำงานต่างๆ ซึ่งได้จัดทำขึ้นตามกรอบการดำเนินงานใหม่ของการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเซีย (ABMI New Roadmap+) ตามที่ที่ประชุมรัฐมนตรีฯ ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว

ทั้งนี้ เพื่อจัดลำดับความสำคัญของงานและเร่งการดำเนินงานที่ยังไม่มีความคืบหน้าให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว

4. ที่ประชุมได้รับทราบผลการศึกษาเบื้องต้นของคณะวิจัยอาเซียน+3 ในหัวข้อ “การพัฒนาโครงสร้างและเสริมสร้าง ประสิทธิภาพของหน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือของภูมิภาคอาเซียน+3" และรับทราบความคืบหน้าและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการศึกษาความร่วมมือใหม่ 3 เรื่องได้แก่ (1) ความร่วมมือทางการเงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาค (2) การใช้เงินสกุลท้องถิ่นของภูมิภาคสำหรับการค้าขายในภูมิภาค และ (3) การจัดตั้งกลไก/กองทุนการประกันภัยที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งจะนำผลการศึกษาดังกล่าวมาใช้ประกอบการกำหนดนโยบายและความร่วมมือในอนาคตต่อไป

5. ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะวิกฤติหนี้สาธารณะของยูโรโซนและวิกฤติการคลัง (Fiscal Cliff) ของสหรัฐฯ รวมทั้งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค ในเรื่องนี้ นายกฤษฎาได้ให้ความมั่นใจแก่ที่ประชุมว่า ภายใต้ภาวะของเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างมั่นคง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ดี การกระจายตลาดส่งออก ความหลากหลายของสินค้าและบริการ และภาคการเงินที่มีความแข็งแกร่ง โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 5.5 และร้อยละ 5.2 ในปี 2555 และ 2556 ตามลำดับ

ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะปานกลางถึงยาวได้แก่ 1) นโยบายภาครัฐที่จะสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ 2555 รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายขาดดุลการคลัง 3.15 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 2.7 ของจีดีพี และในปีงบประมาณ 2556 รัฐบาลมีแผนที่จะดำเนินนโยบายขาดดุลการคลัง 3 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 2.4 ของจีดีพี 2) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2.0 ล้านล้านบาทเพื่อปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ของประเทศ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนทางโลจิสติกส์ของประเทศแล้ว ยังจะช่วยให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียสามารถใช้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคได้เต็มที่มากขึ้น 3) การลดอัตราภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 23 ในปี 2555 และร้อยละ 20 ในปี 2556

รวมทั้งการเชื่อมโยงระบบศุลกากรด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวทั้งระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ (National Single Window) และระหว่างสมาชิกอาเซียน (ASEAN Single Window) เพื่อลดต้นทุนการค้าระหว่างกัน และ 4) การรักษาวินัยทางการคลังภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังโดยรัฐบาลมีแผนที่จะเข้าสู่สมดุลทางการคลังในปี 2560 และการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในมิติอื่นๆ

สำหรับการประชุม AFCDM+3 ครั้งต่อไปมีกำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 2-3 เมษายน 2556 ณ กรุงบันดาเสรีเบกาวัน ประเทศบรูไน โดยมีบรูไนและสาธารณรัฐประชาชนจีนทำหน้าที่เป็นประธานร่วมการประชุม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ