ขณะนี้ กสทช.ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อเตรียมการเปิดประมูล 4G แล้ว เนื่องจากสัญญาสัมปทานมือถือบนคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิร์ตช์ ระหว่างบมจ.กสทโทรคมนาคมกับบริษัท ทรูมูฟ และบริษัท ดีพีซี จะหมดลงในเดือน ก.ย.นี้ ทำให้ต้องมีการคลื่นความถี่กลับมาที่ กสทช. ดังนั้น กสทช.จึงต้องนำคลื่นความถี่นี้ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้คลื่นดังกล่าวยังเป็นระบบ 2G หรืออัพเกรตเป็น 2.5G ก็ตาม แต่คลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิร์ตช์ สามารถนำไปใช้เป็น 4G ได้แล้วในหลายประเทศทั่วโลก
"แนวทางที่มีความเป็นไปได้ก็คือการนำคลื่นดังกล่าวไปให้บริการมือถือระบบ 4G ที่ทั่วโลกกำลังเดินไปสู่เทคโนโลยีนี้กันเพราะหากเรายังคงใช้เทคโนโลยีเดิมก็จะมีปัญหาในอนาคต นั่นคือการผลิตอุปกรณ์จะน้อยลง ทำให้การดูแลรักษาแพงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องตามให้ทันเทคโนโลยีให้ทัน หรือไม่ก็ต้องจ้างผลิตอุปกรณ์ที่ทั่วโลกไม่ผลิตแล้ว" พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าส
อย่างไรก็ตาม การจะเดินไปสู่เทคโนโลยี 4G ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เพราะหลังสิ้นสุดสัมปทานยังคงมีลูกค้าในระบบเดิมอยู่อีกกว่า 10 ล้านเลขหมาย กสทช.จึงต้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเตรียมการทำงานและเริ่มทำงานเพื่อเตรียมการเมื่ออายุสัญญาสัมปทานหมดลงเพื่อดูแลผู้บริโภคเหล่านี้ว่าจะทำอย่างไร
ส่วนกรณีเมื่อมีการนำคลื่นความถี่ 4G มาใช้แล้วราคาค่าบริการถูกลงหรือไม่ พ.อ.เศรษฐพงค์ ยืนยันว่า ถูกลงแน่นอน เนื่องจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปและการติดตั้งโครงข่ายต่างๆ การจัดการง่ายขึ้น จึงทำให้การลงทุนหรือต้นทุนต่ำลง ทั้งนี้เมื่อการลงทุนต่ำลงก็ทำให้ราคาค่าบริการต่ำลงตามไปด้วยเช่นกัน เป็นไปตามแนวโน้มของระบบโทรคมนาคมที่ราคาจะลดต่ำลงไปเรื่อยๆทุกปีๆละประมาณ 5-8%
"ราคาประมูลคงไปชี้นำอะไรไม่ได้ ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากการประมูลครั้งก่อนมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนค่อนข้างมาก ทั้งที่การตั้งราคาประมูลคลื่นความถี่ 2.1 GHz ครั้งก่อน เราไม่ได้ถูกกว่าประเทศอื่น แต่ก็ถูกโจมตี" พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าว