ทั้งนี้ ในเบื้องต้นยึดหลักการในการแจกจ่ายคูปองอย่างเท่าทียมทั่วทั้งประเทศ ซึ่งพิจารณาจากมูลค่าคลื่นความถี่ขั้นต้น สำหรับคลื่นความถี่ที่ต้องมีการประมูล ได้แก่ 24 ช่องธุรกิจ แบ่งเป็นประเภทความละเอียดสูง 4 ช่อง และช่องความละเอียดมาตรฐาน 10 ช่อง แบ่งเป็นช่องข่าว ช่องเด็ก เยาวชนและครอบครัว และช่องทั่วไป
โดยคูปองมีมูลค่าเท่ากับราคาประเมินมูลค่าขั้นต่ำของคลื่นความถี่และหารด้วยจำนวนครัวเรือนตามสำมะโนครัวเรือนประชากรตามข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย โดยแนวทางดังกล่าวจะนำเข้าหารือกับคณะกรรมการกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจ การโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (USO) โดยจะสามารถนำเข้าสู่ที่ประชุมบอร์ด กสทช.ได้ในเดือน ก.พ.56 นี้ เพื่ออนุมัติเป็นมติต่อไป
"แนวทางดังกล่าว จะเป็นการสนับสนุนประชาชนทางเลือกให้เลือกซื้อเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีจูนเนอร์ที่รองรับดิจิตอล หรือเลือกเป็นกล่องรับสัญญาณ โดยแนวคิดดังกล่าวมาจากว่าคลื่นความถี่เป็นทรัพยากรธรรมชาติของประชาชนเป็นเจ้าของ ดังนั้นควรจะต้องกลับคืนมาตามมูลค่าคลื่น แต่หากคำนวณแล้วมีราคาคูปองที่ต่ำเกินไป จะต้องมีการนำกลับมาพิจารณามูลค่าคูปองขั้นต่ำอีกครั้ง แต่เบื้องต้นราคามูลค่าคลื่นความถี่คงไม่ต่ำ" พ.อ.นที กล่าว
อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนคูปองให้กับประชาชนในการเปลี่ยนผ่านระบบดิจิตอลจะกำหนดให้เป็นหลักเกณฑ์การประมูลคลื่นความถี่ทีวีดิจิตอล ซึ่งจะคาดว่าสามารถเปิดประมูลได้ในราวไตรมาส 2/56 หรือในเดือน ก.ค.56
พร้อมกันนี้ บอร์ด กสท.ยังได้อนุมัติเห็นชอบร่างประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์แวละวิธีการอนุญาตเพิ่มเติมในส่วนการให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ประเภทที่ใช้คลื่นความถี่ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล และหลักเกณฑ์การแบ่งเวลาให้ผู้อื่นดำเนินรายการ หลังจากรับฟังความคิดเห็นแล้ว ซึ่งจะส่งให้บอร์ด กสทช.พิจารณาอีกครั้งและนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา
นายธวัชชัย จิตรภาษนันท์ กรรมการ กสทช.ด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า ขณะนี้การพิจารณาราคาตั้งต้นในการประมูลใบอนุญาต (ไลเซ่นส์)ทีวีดิจิตอล ประเภทธุรกิจ จำนวน 24 ช่อง รวมช่องเอชดี 4 ช่องนั้นยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ต้องมีความชัดเจนก่อนการเปิดประมูล โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดเพื่อให้เกิดความรอบคอบที่สุดจากคณะกรรมการร่วมทุกฝ่าย ประกอบด้วย คณะเศรษฐศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) และ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ(ITU) โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนประมาณเดือน ก.พ.56
"สิ่งสำคัญที่น่าจับตาขณะนี้ ไม่ใช่เรื่องราคาการตั้งต้นประมูล แต่เป็นรายละเอียดการถือครองที่ยังไม่มีความชัดเจนว่า ผู้ประกอบการ 1 ราย จะสามารถถือครองได้จำนวนกี่ช่อง เรื่องราคานั้นถ้าคนประมูลมีจำนวนมาก ราคาตั้งต้นไม่ค่อยมีความหมาย แต่ถ้าคนเข้าประมูลน้อยอาจจะมีการฮั้วเกิดขึ้นได้" นายธวัชชัย กล่าว
พร้อมระบุว่า เรื่องราคาตั้งต้นประมูลขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เป็นเรื่องที่หลายฝ่ายอยากรู้ แต่ตอนนี้ข้อมูลที่ได้มายังไม่มีความชัดเจน ดังนั้นต้องศึกษารายละเอียดอย่างรอบคอบมากที่สุด ตัวเลขก่อนหน้านี้ที่ออกมามีทั้งต่ำกว่า 100 ล้านบาท และเกือบ 1,000 พันล้านบาท ซึ่งการประมูลครั้งนี้ กสทช.ต้องมีความชัดเจนและจะต้องอธิบายได้ ซึ่งหากการแข่งขันมากราคาตั้งต้นก็ไม่มีความหมาย
นายธวัชชัย กล่าวว่า สัดส่วนการกระจายคูปองให้กับภาคครัวเรือนจะสอดคล้องกับแผนการขยายโครงข่ายทีวีดิจิตอล คือ ปีแรกจะต้องครอบคลุมพื้นที่ 50% ปีที่สอง 80% ปีที่สาม 90% และปีที่สี่ 95%