สำหรับ AEC ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านั้น ภาคเอกชนให้ความเห็นว่าประเทศไทยควรฉวยโอกาสนี้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำอาเซียนโดยเฉพาะอาเซียนอินโดจีน ควรพัฒนาห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค(Regional supply chain) เพราะเราไม่สามารถมองห่วงโซ่อุปทานแบบจำกัดประเทศเดียวได้อีกต่อไป ควรสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนเพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ได้เปรียบของประเทศเพื่อนบ้านผนวกรวมกับความเชี่ยวชาญของประเทศไทย
ในขณะเดียวกัน การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เราต้องมุ่งเน้นการพัฒนาคน พัฒนางานวิจัย ผลิตคนและผลิตงานวิจัยที่ตรงกับความต้องการของตลาด และต้องผสานความเชื่อมโยงระหว่างภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาให้ได้
ส่วนเรื่องเศรษฐกิจชุมชนเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย เราควรกระจายการพัฒนาสู่ระดับรากหญ้า เพราะความสามารถในการแข่งขันต้องเริ่มต้นจากระดับฐานราก ที่ผ่านมาการพัฒนายังไม่กระจายไปอย่างทั่วถึง ประเทศไทยต้องหันมาให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจชุมชน ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนเพื่อยกระดับไปเป็นคลัสเตอร์ระดับภูมิภาค(Regional Cluster)ให้ได้
ทั้งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ภาคเอกชนได้กล่าวมาทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้น หากภาครัฐไม่มียุทธศาสตร์ของประเทศที่ชัดเจนเพื่อเป็นหางเสือของการพัฒนา โดยกลยุทธ์ในระยะยาวจะต้องมีแผนปฏิบัติงานที่รองรับและนำไปปฏิบัติได้จริง พร้อมทั้งมีตัวชี้วัดความสำเร็จของแผนงานที่ชัดเจน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานคณะกรรมการสถาบันอนาคตไทยศึกษา กล่าวเสริมว่า ในห้วงเวลาที่บ้านเมืองตกอยู่ในวังวนของความขัดแย้งจนภาครัฐยากที่จะขับเคลื่อนได้อย่างมีพลัง และในยามที่ภาคประชาชนส่วนใหญ่ยังอ่อนแอและยากจน ภาคเอกชนคือความหวังอันสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศสามารถพัฒนาก้าวไปข้างหน้าได้ เพราะเพียบพร้อมทั้งทรัพยากรและความสามารถ
"ไม่มียามใดอีกแล้ว ที่ประเทศต้องการบทบาทเชิงรุกของภาคเอกชน เพื่อสะสางปัญหาที่สั่งสมในประเทศ และร่วมบุกเบิกโอกาสในต่างประเทศเพื่อสร้างอนาคตแก่ประเทศไทย" นายสมคิด กล่าวอนึ่ง งานสนทนา TFF Business Roundtable ได้รับเกียรติจากผู้นำภาคเอกชนระดับคีย์แมนในหลากหลายสาขาธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นสาขาการเงิน, ค้าปลีก, อาหารและเครื่องดื่ม, สินค้าอุปโภคบริโภค, ประกันภัย และโทรคมนาคม ได้แก่ นายกฤษฎา ล่ำซำ, นายชาติศิริ โสภณพนิช, นายฐาปน สิริวัฒนภักดี, นายทศ จิราธิวัฒน์, นายธีรพงศ์ จันศิริ, นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา, นายศุภชัย เจียรวนนท์, นายสาระ ล่ำซำ และนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ซึ่งมาร่วมสนทนาเกี่ยวกับมุมมองและความเห็นของภาคเอกชนในครั้งนี้