นายกฯ เปิดโครงการนำร่องผลิตก๊าซ CBG เป็นพลังงานทางเลือก-ลดภาระนำเข้า

ข่าวเศรษฐกิจ Friday February 15, 2013 13:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานเปิดโครงการผลิตก๊าซชีวภาพอัด(Compressed Bio-methane Gas) หรือ CBG เพื่อการคมนาคมแห่งแรกของประเทศไทย ที่บมจ.ยูนิเวอร์แซล แอดวอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์ (UAC) อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นโครงการนำร่องที่เกิดจากการบูรณาการภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาพลังงานทดแทนโดยนำวัตถุดิบที่ได้จากภาคเกษตรในประเทศ โดยเฉพาะหญ้าเลี้ยงช้างและจากของเสีย เช่น มูลสุกร มาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ และนำมาปรับเป็นก๊าซ CBG ที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในยานยนต์ (NGV) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับภาคขนส่งในอนาคต

นายพงศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน กล่าวถึงโครงการนำร่อง CBG ดังกล่าวว่าเกิดจากความร่วมมือของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งได้ร่วมกันศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีในการนำก๊าซชีวภาพมาผลิตเป็นไบโอมีเทนอัด หรือก๊าซ CBG โดยโครงการฯ ได้ใช้วัตถุดิบสำคัญ 2 ส่วน ได้แก่ มูลสุกรในพื้นที่โครงการ ซึ่งมีสุกร 35,000 ตัว หรือได้วัตถุดิบประมาณ 10-12 ตันต่อวัน ผสมรวมมากับน้ำทิ้งจากฟาร์มสุก ประมาณ 200 ลูกบาศ์เมตรต่อวัน และรวมกับวัตถุดิบซึ่งได้จากส่วนที่ 2 คือ หญ้าเลี้ยงช้างหมักที่มีอายุ 30-45 วัน ประมาณ 20-ตันต่อวัน โดยเมื่อนำวัตถุดิบทั้งหมดมาผ่านกระบวนการทางเทคนิคจะได้ก๊าซ CBG ที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับก๊าซ NGV ที่ใช้ในรถยนต์ และมีมาตรฐานตรงตามการรับรองของกรมธุรกิจพลังงาน

"กระทรวงพลังงานหวังว่าจะเป็นเชื้อเพลิงจากพลังงานทดแทนอีกหนึ่งทางเลือกที่สำคัญในอนาคต ซึ่งจะใช้สำหรับรถยนต์และภาคขนส่ง" รมว.พลังงาน กล่าว

สำหรับโครงการนำร่องผลิต CBG แห่งแรกนี้ มั่นใจจะสามารถผลิตได้ 6 ตันต่อวัน และสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อเติมในรถยนต์ได้ประมาณ 500 คันต่อวัน หรือใช้เติมในรถขนส่งขนาดใหญ่ได้ 40 คันต่อวัน ซึ่งสามารถทดแทนการนำเข้าน้ำมันดีเซลได้ประมาณปีละ 2.2 ล้านลิตร หรือลดการใช้ก๊าซหุงต้ม (LPG) ได้ประมาณปีละ 1.6 ล้านกิโลกรัม โดยเบื้องต้น กระทรวงพลังงานจะร่วมกับ บมจ.ปตท.(PTT)ในการจำหน่ายเป็นโครงการนำร่องให้รถยนต์ในจังหวัดเชียงใหม่

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดโครงการผลิตก๊าซชีวภาพอัด CBG โดยเห็นว่าโครงการผลิตก๊าซชีวภาพอัด CBG ถือเป็นโครงการที่มีความสำคัญที่ทุกภาคส่วนได้มาร่วมกันดำเนินการในการที่จะสร้างพลังงานทดแทน และใช้พลังงานที่เกิดจากธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลและเป็นยุทธศาสตร์ประเทศที่ต้องการเห็นการขับเคลื่อนพลังงานธรรมชาติ

ขณะเดียวกันก็อยากเห็นอุตสาหกรรมต่างๆ เจริญเติบโตควบคู่กับการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งโครงการนี้ก็ถือเป็นความสำเร็จในการทำงานร่วมกันทั้งระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน และถือเป็นความก้าวหน้าในการพัฒนาก๊าซชีวภาพนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ สามารถสร้างรายได้และส่งเสริมการจ้างงานในท้องถิ่น

"ในแต่ละปีประเทศไทยต้องประสบปัญหาในการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งเมื่อได้ดำเนินโครงการผลิตก๊าซชีวภาพอัด CBG นี้ ก็จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประเทศ รวมถึงมีความคุ้มค่า และส่งเสริมให้เกิดพลังงานทดแทนได้" นายกรัฐมนตรี กล่าว

พร้อมระบุว่า การส่งเสริมพลังงานทดแทน ถือเป็นภารกิจที่สำคัญและเร่งด่วนที่จะต้องทำควบคู่กันไปทั้งการรณรงค์ การประหยัดพลังงาน และการพัฒนาวิจัยค้นคว้าให้เกิดพลังงานทดแทนนำกลับมาใช้งานในประเทศ เพื่อรองรับความมั่นคงทางด้านพลังงานต่อไปในอนาคต

นอกจากนี้ การดำเนินโครงการผลิตก๊าซชีวภาพอัด CBG ถือเป็นการช่วยลดภาระการนำเข้าน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้มจากต่างประเทศได้ในระดับหนึ่ง และเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับของเสียที่เกิดจากฟาร์มสุกรและทรัพยากรในท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และช่วยให้ประชาชนนำวัตถุดิบในชุมชนมาใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจได้มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลพร้อมจะสนับสนุนให้ภาคเอกชน ภาคเกษตรกรรม และชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนจากวัตถุดิบในประเทศอย่างจริงจังมากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ