ทั้งนี้ ปตท. ได้บริหารจัดการเตรียมความพร้อมร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) และโรงงานอุตสาหกรรมไว้ล่วงหน้า ภายใต้คำแนะนำจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)และกระทรวงพลังงาน คาดว่าระบบการจ่ายก๊าซธรรมชาติฝั่งตะวันตกจะทยอยกลับคืนสู่สภาพปกติตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน 2556 เป็นต้นไป
"โดยปกติการกำหนดช่วงเวลาทำงานซ่อมบำรุงของแท่นผลิตก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่นั้น ปตท. จะเจรจาให้ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติดำเนินการในช่วงเวลาที่ประเทศมีความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำ เช่น ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาว สำหรับในปี 2556 การปิดซ่อมบำรุงของแหล่งยาดานาเพื่อดำเนินการย้ายและติดตั้งแท่น Flare platform มีความจำเป็นที่จะต้องรีบดำเนินการเพื่อความปลอดภัยของแท่นผลิตและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน เนื่องจาก การทรุดตัวของแท่น Flare platform อยู่ในภาวะวิกฤต มิฉะนั้นอาจก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายมากกว่านี้ ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติแหล่งยาดานาต้องการทำงานในช่วงเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม ปตท.ได้พยายามเจรจาเพื่อขอเลื่อนการทำงานให้อยู่ในช่วงที่มีวันหยุดเดือนเมษายนมากที่สุด ซึ่งตกลงกันได้เป็นช่วงวันที่ 5-14 เมษายน 2556"นายภาณุกล่าว
นายภาณุ กล่าวเพิ่มเติมว่า การปิดซ่อมบำรุงแหล่งยาดานาครั้งนี้ เป็นแผนงานหยุดซ่อมประจำปีที่ผู้ผลิตแจ้งล่วงหน้ามากว่า 1 ปี ดังนั้น ตามสัญญาซื้อขายก๊าซยาดานา ปตท. จึงไม่สามารถเรียกร้องค่าปรับหรือรับสิทธิส่วนลดซื้อก๊าซในส่วนที่ขาดหายไปจากผู้ผลิตในราคาลดลง ร้อยละ25ได้
ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณ 5,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ปริมาณก๊าซธรรมชาติที่จัดหาส่วนใหญ่มาจากอ่าวไทย และมีการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากประเทศเมียนมาร์ประมาณ 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ประกอบด้วย แหล่งยาดานา 650 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และแหล่งเยตากุน 460 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยมีผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติฝั่งตะวันตก 3 กลุ่ม ได้แก่ ภาคไฟฟ้า (กฟผ./IPP) 981ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่งในปริมาณ 23 และ 96 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันตามลำดับ