ทั้งนี้ จากการเปรียบเทียบวิธีระบายข้าวย้อนหลัง 3 ปี ของรัฐบาลนี้ และรัฐบาลชุดก่อน พบว่า มีขั้นตอนเหมือนกันทุกประการ เริ่มตั้งแต่ กขช. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาการระบายข้าวขึ้น เพื่อมอบอำนาจให้ดำเนินการตามแผนการระบายข้าวที่กขช.อนุมัติ โดยคณะอนุกรรมการฯได้ตั้งคณะทำงานการระบายขึ้นอีก 1 ชุด เพื่อเจรจาขายข้าวสต๊อกรัฐบาล เมื่อได้ข้อสรุปการระบายข้าวก็จะเสนอผลมาให้คณะอนุกรรมการฯ ที่มีรมว.พาณิชย์ อนุมัติ แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ ขั้นตอนของรัฐบาลชุดนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อคณะทำงานฯเสนอผลข้าวกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯอนุมัติเป็นการเสร็จสิ้น แต่ของรัฐบาลชุดก่อนคณะอนุกรรมการฯเมื่ออนุมัติแล้วจะต้องเสนอกลับให้กขช.เห็นชอบก่อน จึงจะมีผลบังคับใช้ได้
สำหรับประเด็นการขายข้าวให้บริษัทจีเอสเอสจี ที่ถูกโจมตีว่าไม่ใช่รัฐวิสาหกิจจีนนั้น จากการตรวจสอบสถานะพบว่า เป็นรัฐวิสาหกิจของจีนจริง โดยกรมการค้าต่างประเทศ ได้ตรวจสอบสถานะก่อนที่จะเสนอให้ รมว.พาณิชย์ ขายข้าวจีทูจีให้กับจีเอสเอสจี โดยประสานกับสำนักงานส่งเสริมการค้าต่างประเทศ ณ เมืองกวางโจว ประเทศจีน ซึ่งได้ตรวจสอบหลักฐาน จากคณะกรรมการควบคุมและบริหารทรัพย์สินประชาชนแห่งมณฑลกวางตุ้งเรียบร้อย มีหนังสือยืนยัน โดยมีนางโล เหวิน ซุ้ย เป็นผู้มีอำนาจลงนามแทนบริษัท
ขณะที่การเลือกวิธีขายข้าวจีทูจีแบบหน้าคลังสินค้า จากเดิมที่จะขายในรูปแบบเอฟโอบี และซีไอเอฟนั้น ยืนยันว่า รัฐบาลชุดก่อนก็ขายหน้าคลังสินค้า โดยให้ผู้ซื้อเป็นผู้ว่าจ้างเอกชนปรับปรุงสภาพ และรับมอบข้าวแทนผู้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อได้รับข้าวแล้วจึงจะจ่ายเงินให้รัฐบาลไทย แต่รัฐบาลชุดนี้กำหนดเงื่อนไขการซื้อหน้าคลังสินค้า จะต้องจ่ายเงินให้รัฐบาลไทยก่อนที่ผู้ซื้อจะรับมอบข้าว เพราะรัฐบาลไทยมีภาระต้องนำเงินไปใช้ในโครงการรับจำนำ
ส่วนประเด็นที่สงสัยว่า มีกระบวนการนำข้าวที่ระบายจีทูจีหมุนเวียนกลับเข้าสู่การรับจำนำหรือไม่นั้น จากกระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่าจะไม่มีการนำมาเวียนเทียน เพราะมีคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามการรับจำนำ ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในขั้นการส่งมอบข้าวเข้าโกดังกลางก็มีบริษัทผู้ตรวจสอบ (เซอร์เวเยอร์) รับผิดชอบทั้งคุณภาพและปริมาณอยู่แล้ว ซึ่งหากข้าวที่ส่งมอบเข้าโกดังกลางไม่ได้ตามคุณภาพ และปริมาณที่รับจำนำมา ก็จะไม่รับข้าวดังกล่าวแน่นอน