สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (1-5 เม.ย. 2556) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 29.20-29.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยคงต้องจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของกนง. (3 เม.ย.) สถานการณ์วิกฤตหนี้ยูโรโซน โดยเฉพาะประเด็นความกังวลในอิตาลีและไซปรัส รวมถึงผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นภายใต้การนำของผู้ว่าการฯ คนใหม่ ขณะที่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี ISM ภาคการผลิตและภาคบริการ ข้อมูลตลาดแรงงานในเดือนมี.ค. ยอดสั่งซื้อสินค้าภาคโรงงาน ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ รายจ่ายภาคการก่อสร้างเดือนก.พ. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ นักลงทุนยังอาจจับตาดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมี.ค. ของหลายๆ ประเทศอีกด้วย
ส่วนภาวะตลาดทุน ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น จากแรงซื้อของกองทุนและการทำราคาปิดสิ้นงวดบัญชี (Window Dressing) ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,561.06 จุด เพิ่มขึ้น 5.55% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 20.03% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 62,088.64 ล้านบาท โดยนักนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนรายย่อยและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 484.28 จุด เพิ่มขึ้น 10.97% จากสัปดาห์ก่อน
ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นในช่วงต้น-กลางสัปดาห์ โดยมีแรงซื้อหุ้นกลับของนักลงทุนหลังจากไซปรัสได้รับการช่วยเหลือทางการเงิน อันช่วยหลีกเลี่ยงการล่มสลายทางการเงินของประเทศ รวมถึงแรงหนุนจากการทำราคาปิดสิ้นงวดบัญชี (Window Dressing) ก่อนที่ตลาดหุ้นจะลดช่วงบวกลงในวันพฤหัสบดี จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนจากความกังวลว่าผู้ฝากเงินในธนาคารของประเทศอื่นๆ ในยูโรโซนจะแห่ถอนเงิน จากนั้นตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อของกองทุน
แนวโน้มสัปดาห์ระหว่างวันที่ 1-5 เม.ย. 2556 บล.กสิกรไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น แต่ต้องระวังแรงขายทำกำไร สำหรับรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ อาทิ เครื่องชี้ภาคการผลิต (ISM Manufacturing) ยอดขายสินค้าโรงงาน ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ทั้งนี้ คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,523 และ 1,477 ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,580 และ 1,600 ตามลำดับ