ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวมอยู่ที่ 75.0 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ อยู่ที่ 76.4 และดัชนความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 102.9
สำหรับปัจจัยบวกในเดือนมี.ค.ที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศปรับตัวลดลง, SET Index เดือนมี.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 19.48 จุด, เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น, ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง วงเงิน 2 ล้านลบ.ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ วาระแรก และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเป็น 300 บาท/วัน
ขณะที่ปัจจัยลบ ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกของไทยในก.พ.56 ลดลง 5.8% และมียอดขาดดุลการค้า 1.5 พันล้านดอลลาร์, ความกังวลจากความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะยุโรป, ความกังวลต่อวิกฤติพลังงานไฟฟ้าในช่วงวันที่ 5-14 เม.ย., ภาวะเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว, ความไม่แน่นอนทางการเมืองในอนาคต รวมทั้งความกังวลปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ คาดว่า การบริโภคของภาคประชาชนในปัจจุบันจะขยายตัวดีขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่ปัจจุบัน เนื่องจากประชาชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย อีกทั้งรายได้ของประชาชนยังปรับตัวสูงขึ้นจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วันทั่วประเทศ, นโยบายการจำนำข้าว, การปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ
อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคยังมีความวิตกกังวลและรอดูสถานการณเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ยังคงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะหลังเกิดวิกฤติการณ์ทางการเงินและเศรษฐกิจในไซปรัส ตลอดจนค่าครองชีพที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และความผันผวนทางการเมืองไทย
ทั้งนี้ การปรับตัวดีขึ้นของการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนจะฟื้นขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ถ้ารัฐบาลเร่งรัดการใช้นโยบายการคลังผ่านการใช้งบประมาณ เพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงพยุงไม่ให้เศรษฐกิจไทยผันผวนตามเศรษฐกิจโลก