โดยในส่วนของการประกาศขายทองคำสำรองส่วนใหญ่ของไซปรัสนั้น (ประมาณ 400 ล้านยูโร หรือ 10.36 ตัน จากทองคำสำรองทั้งหมดของไซปรัสซึ่งมีประมาณ 13.9 ตัน ณ สิ้นเดือนก.พ.) ซึ่งแม้จะไม่มากเมื่อเทียบกับขนาดการขายทองคำของกลุ่มกองทุนและนักเก็งกำไรในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ก็นับว่าเป็นการขายทองคำครั้งใหญ่ครั้งแรกโดยธนาคารกลางในยูโรโซน และยังเป็นตัวจุดชนวนให้ตลาดกังวลมากขึ้นว่าสมาชิกยูโรโซนอื่นๆ อาทิ อิตาลี โปรตุเกส และสเปน อาจจำเป็นต้องดำเนินรอยตามหากเผชิญกับแรงกดดันหรือสถานการณ์ที่เสี่ยงมากขึ้นจากวิกฤตหนี้
เสน่ห์ที่น้อยลงของทองคำในบทบาทการปกป้องความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนสัญญาณเศรษฐกิจจีนที่น่าผิดหวังในช่วงต้นปี 2556 และแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยของยูโรโซนที่ยังคงกดดันทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก เมื่อประกอบเข้ากับความกังวลต่อจังหวะเวลาถอยมาตรการ QE ของเฟด ทำให้ยังคงไม่ปรากฏความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่ชัดเจนมากนักในเวลานี้ ขณะที่นักลงทุนก็ยังไม่ได้ให้น้ำหนักต่อสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคต่างๆ มาเป็นตัวแปรในการตัดสินใจลงทุนในทองคำ
นักลงทุนมองหาทางเลือกอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนมากกว่า ท่ามกลางการดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงรุกของธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ) (และมาตรการ QE ของเฟดที่ยังคงมีอยู่ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า แม้ตลาดอาจระมัดระวังมากขึ้นในการประเมินช่วงเวลาของการถอยออกจากมาตรการ QE) ทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ของตลาดเกิดใหม่บางประเทศเริ่มให้ผลตอบแทนที่จูงใจกว่าการลงทุนในทองคำโดยเปรียบเทียบ
อย่างไรก็ดี แม้ราคาทองคำที่ร่วงลงอย่างมากจนทำสถิติต่ำสุดในรอบ 2 ปีในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ อาจจูงใจให้มีแรงซื้อคืนทองคำจากนักลงทุนทั่วไป/กลุ่มกองทุน/ธนาคารกลาง ขณะที่ปัจจัยทางเทคนิคและตัวแปรเฉพาะของตลาดทองคำ (อาทิ การฉลองเทศกาล Akshaya Tritiya ในเดือนพ.ค. ซึ่งจะทำให้มีความต้องการทองคำเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ฤดูกาลแต่งงานในอินเดีย ซึ่งเป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก จะดำเนินต่อไปจนถึงต้นเดือนมิ.ย.) อาจทำให้ทิศทางราคาฟื้นตัวขึ้นในระยะใกล้นี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าในระยะข้างหน้าตลาดทองคำยังคงต้องเตรียมรับมือกับภาวะผันผวน เนื่องจากตัวแปร/เงื่อนไขที่จะเอื้อต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดทองคำอาจจะไม่เกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่สอดคล้องกัน โดยอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นของแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและวิกฤตหนี้ยูโรโซน ตลอดจนภาวะเงินเฟ้อในหลายประเทศที่เป็นแกนนำของโลก ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ
ดังนั้นแม้ตลาดน่าจะรับรู้ตัวแปรจากมาตรการ QE ของเฟดไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่คงต้องประเมินสัญญาณความต่อเนื่องของการใช้ QE จากเฟด รวมถึงทิศทางที่ชัดเจนขึ้นของการเยียวยาปัญหาเศรษฐกิจ/เงินฝืดในญี่ปุ่น และปัญหาหนี้ในยูโรโซนประกอบด้วย เพราะต้องยอมรับว่าปัจจัยเหล่านี้ย่อมจะย้อนกลับมามีผลในการกำหนดทิศทางเงินดอลลาร์ฯ และราคาทองคำในช่วงนับจากนี้เช่นกัน
"ช่วงหลังจากนี้ นอกจากจะต้องจับตาทิศทางการซื้อ-ขายในระยะสั้นแล้ว การประเมินสถานการณ์ตลาดทองคำยังอาจต้องจับสัญญาณปัจจัยพื้นฐาน อาทิ สถานการณ์วิกฤตหนี้ยูโรโซน ความเสี่ยงเงินเฟ้อ และผลตอบแทนของสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่อื่นๆ โดยเปรียบเทียบกับทองคำประกอบด้วย" เอกสารเผยแพร่ ระบุ