สำนักงานสถิติแห่งชาจิของฝรั่งเศส (INSEE) เปิดเผยวานนี้ว่า เศรษฐกิจฝรั่งเศสหดตัวลง 0.2% ในช่วง 3 เดือนแรกของปีซึ่งเป็นการหดตัวลงเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน
INSEE ระบุว่า สาเหตุที่อัตราการขยายตัวอ่อนแอเกิดจากการชะลอตัวลงของผลผลิตในภาคอุตสาหกรรม, การบริโภคของภาคครัวเรือน, การหดตัวลงของการลงทุนเป็นไตรมาสที่ 5 ติอต่อกัน และการหดตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออก
นอกจากข้อมูลที่ไม่สดใสจากสำนักงานสถิติแล้ว วิสัยทัศน์ของพรรคสังคมนิยมในการสร้างความมั่งคั่งและลดอัตราว่างงานลงยังเป็นเรื่องที่ประชาชาไม่ได้ให้ความเชื่อมั่น ซ้ำยังกระตุ้นให้เกิดการวิพากวิจารณ์นโยบายอย่างหนัก เนื่องจากถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
นายฌอง-ฟรังซัวส์ โคป ผู้นำพรรคแกนนำฝ่ายค้านกล่าวในแถลงการณ์ซึ่งเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของพรรคว่า “ฝรั่งเศสมีปัญหาเชิงโครงสร้างในเรื่องการขาดศักยภาพด้านการแข่งขัน และมาตรการที่นายออลลองด์นำมาใช้ในช่วง 1 ปีทำให้ผมคิดว่าประธานาธิบดีฝรั่งเศสมีส่วนรับผิดชอบต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศที่ย่ำแย่ลง"
“นโยบายของรัฐบาลฝ่ายสังคมนิยมเป็นความล้มเหลวอย่างแท้จริงที่นำไปสู่ทิศทางที่ไม่ถูกต้องและจะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชาวฝรั่งเศสในอนาคต" นายโคปกล่าวเสริม
นักวิเคราะห์ระบุว่า เป้าหมายจากมุมมองในแง่บวกของนายออลลองด์อาจจะทำให้รัฐบาลซึ่งตกที่นั่งลำบากอยู่แล้วต้องปรับลดงบประมาณค่าใช้จ่ายลงอีกซึ่งจะทำให้ประชาชนไม่พอใจ
วาเลรี พรีเครสเซ อดีตรัฐมนตรีงบประมาณของฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BFMTV ว่า “เรื่องดังกล่าวเกิดจากนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพของนายออลลองด์ ทำให้ปัจจุบัน เรากำลังดิ่งลงไปสู่ภาวะถดถอยเนื่องจากอัตราภาษีที่สูงเกินไปซึ่งทั่นทอนอำนาจซื้อของประชาชน การบริโภค และการลงทุน"
นายฟรังซัวส์ ฟิยอง อดีตนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสระบุว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่หดตัวลงบ่งชี้ถึงความเปราะบางอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจฝรั่งเศส ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของยูโรโซน เป็นกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของฝรั่งเศส
นายฟิยองให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า “เราได้ร่วมมือกับอดีตประธานนาธิบดีนิโคลาส์ ซาร์โกซี ในความพยายามเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขัน แต่รัฐบาลของนายออลลองด์ได้ยกเลิกการปฏิรูปดังกล่าวทั้งหมด และแทนที่ด้วยนโยบายที่ไม่ใช่การริเริ่มที่แท้จริงในเรื่องศักยภาพด้านการแข่งขัน นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ฝรั่งเศสต้องเข้าสู่ภาวะถดถอย"
บทวิเคราะห์โดยสำนักข่าวซินหัว