กลุ่มบ้านอยู่อาศัยมีการซื้อกรมกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติสูงสุดในสัดส่วนร้อยละ 92 ของกรมธรรม์ทั้งหมดหรือจำนวน 906,622 ฉบับ รองลงมาคือกลุ่มธุรกิจ SMEs ร้อยละ 7 หรือจำนวน 68,013 ฉบับ และกลุ่มอุตสาหกรรมร้อยละ 1 ของกรมธรรม์ทั้งหมดหรือจำนวน 4,990 ฉบับ
นอกจากนั้น พบว่ากลุ่มบ้านที่อยู่อาศัยเป็นกลุ่มที่มีทุนประกันภัยภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนสูงสุดคือสัดส่วนร้อยละ 58 คิดเป็นมูลค่า 32,078 ล้านบาท ถัดมาคือกลุ่มอุตสาหกรรมในสัดส่วนร้อยละ 26 คิดเป็นมูลค่า 14,162 ล้านบาท และกลุ่ม SMEs สัดส่วนร้อยละ 16 มูลค่า 8,704 ล้านบาท ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ สูงสุดที่ร้อยละ 45 รองลงมาคือกลุ่มบ้านอยู่อาศัยสัดส่วน 35 และกลุ่ม SMEs มีสัดส่วนร้อยละ 20 ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการเรียกร้องสินไหมทดแทน
“การที่ประชาชนและภาคอุตสาหกรรมตื่นตัวให้ความสำคัญทำประกันภัยพิบัติเพิ่มขึ้นสะท้อนว่า มีความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันภัยพิบัติ และเชื่อมั่น ในการดำเนินงานของกองทุนฯ ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจมีความมั่นใจว่า หากเกิดภัยพิบัติก็จะมีกองทุนฯ ให้ความคุ้มครองทรัพย์สิน ที่จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งมั่นคงให้กับระบบอุตสาหกรรม และสามารถเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมของโลกต่อไป"นายพยุงศักดิ์ กล่าว
ด้านนายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รองปลัดกระทรวงการคลังและกรรมการบริหารกองทุนฯ กล่าวว่า การที่เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องเป็นผลจาก นักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติมีความเชื่อมั่นต่อนโยบายรัฐบาลและการดำเนินการของภาครัฐ ในการบริการจัดการภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟู และสร้างอนาคตประเทศ(กยอ.)และโครงการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ