ทั้งนี้ เจตนาที่ประกาศโซนนิ่งเพื่อต้องการปรับสมดุลระหว่าง ปริมาณความต้องการสินค้าและปริมาณสินค้าเกษตรในตลาดให้สอดคล้องกัน โดยหากปริมาณสินค้าเกษตรชนิดใดมีมากเกินไปหรือปลูกในที่ที่ไม่เหมาะสม ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง ผลผลิตต่อไร่ต่ำ เกษตรกรควรหันไปปลูกพืชชนิดอื่นหรือปรับเปลี่ยนไปทำการเกษตรด้านอื่น เช่น เลี้ยงสัตว์ ประมง หรือทำไร่นาสวนผสม เป็นต้น
นายชวลิต กล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศเร่งเดินหน้าทำงานในพื้นที่ ประสานงานและร่วมมือกับหน่วยงานที่สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่จังหวัด จัดทำรายละเอียดข้อมูล ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.) พื้นที่ที่เหมาะสม (ตามประกาศกระทรวง) ให้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจัดทำเป็นตัวอย่างนำร่องในพื้นที่จังหวัด
2.) พื้นที่ไม่เหมาะสมหรือเหมาะสมน้อย ให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการผลิตลดพื้นที่ปลูกพืชชนิดเดิม และปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นที่เหมาะสม เลี้ยงสัตว์ หรือ ทำประมงน้ำจืด ซึ่งการปรับเปลี่ยนการผลิตถือเป็นนโยบายสำคัญ เพราะจะลดปริมาณสินค้าส่วนเกินในตลาดได้ และหากเปลี่ยนเป็นการทำไร่นาสวนผสมควรเน้นเกษตรกรที่มีความตั้งใจจริง อย่างไรก็ดี การดำเนินงานทั้ง 2 กลุ่ม ให้ดูตลาดที่จะรองรับผลผลิตเป็นสำคัญ โดยได้กำชับให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดและหน่วยงานในพื้นที่เร่งดำเนินการจัดทำรายละเอียดต่างๆ และส่งข้อมูลให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2556 เพื่อกระทรวงจะได้พิจารณาข้อมูลและนำเสนอ ของบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลต่อไป
สำหรับการทำแผนโซนนิ่งเกษตรสำเร็จเกษตรกรจะได้รับผลประโยชน์ คือ 1.) ประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และได้รับการพัฒนาที่เหมาะสม 2.) ต้นทุนการผลิตทางด้านการเกษตรที่ลดลง และมีรายได้เพิ่มขึ้น 3.) ผลผลิตของเกษตรกรมีตลาดรองรับที่แน่นอน และ4.) ไม่ประสบปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำเนื่องจากผลผลิตล้นตลาด
"การดำเนินงานของกระทรวงจะไปสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่มีนโยบายในการจัดการใช้ที่ดินของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด สำหรับพื้นที่เกษตรกรรรมมีเป้าหมายเพื่อให้เกษตรกรได้ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และทำการประมง ในพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และทำการประมง เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต ตลอดจนเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการด้านการตลาด การแปรรูปเพิ่มมูลค่าสินค้า และจัดระบบการจัดการขนส่งสินค้าให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่"นายชวลิต กล่าว