TMB คาดกนง.รอบนี้ยังคงดบ.ที่ 2.50% แต่จับตา GDP Q2/56-หนี้ครัวเรือน

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday July 9, 2013 10:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี(TMB Analytics) คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ในการประชุมวันพรุ่งนี้(10 ก.ค.) แม้ว่าหลายฝ่ายจะปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี

ในปัจจุบันนักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวน้อยลงจากที่คาดไว้ต้นปี เป็นผลจากปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกประเทศ นับตั้งแต่ตัวเลขการเติบโตในไตรมาสแรกขยายตัวที่ร้อยละ 5.3 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ได้คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้กนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนพฤษภาคม

การฟื้นตัวอย่างเปราะบางของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการหดตัวของเศรษฐกิจยุโรปและการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนที่ต่ำกว่าคาดเป็นปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจจีนที่มีปัญหาทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกที่ร้อยละ 7.7 ต่ำกว่าตลาดคาด และการส่งออกที่ชะลอลงในเดือนพฤษภาคมเพียงร้อยละ 0.9 อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานของกิจกรรมการผลิตในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงภาคการส่งออกของไทยด้วยที่ในปีนี้อาจขยายตัวได้เพียงเล็กน้อย แม้ว่าจะเห็นการฟื้นตัวในส่วนของเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจญี่ปุ่น แต่ยังคงเป็นการฟื้นตัวที่เปราะบาง รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯจะปรับลดวงเงินนโยบาย QE ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปีนี้ ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นสำคัญ อาจมีความเสี่ยงต่อตลาดเงินของไทยในอนาคต

สำหรับปัจจัยเสี่ยงภายใน การจับจ่ายใช้สอยของภาคเอกชนนั้นคาดว่าจะอ่อนตัว เป็นผลจากรายได้เกษตรกรที่ลดลงตามราคาสินค้าเกษตร และหลังจากการส่งมอบรถในนโยบายรถคันแรกสิ้นสุดลง ทำให้การบริโภคภาคเอกชนลดลง ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ มีความเป็นไปได้ที่จะเบิกจ่ายเบิกจ่ายไม่ทันในปีนี้ เนื่องจากยังต้องดำเนินการอีกหลายขั้นตอน โดยเฉพาะหากติดประเด็นการขัดรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ปัจจัยที่กล่าวข้างต้นจะเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยที่กนง.จะนำใช้ในพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโนบายในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจจะมีสัญญาณแผ่วที่ชัดเจน แต่ก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นรับรู้ผลกระทบจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้น โดยกนง.น่าจะรอดูเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจในเดือนมิ.ย. โดยเฉพาะด้านการส่งออก รวมถึงตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ที่จะประกาศอย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนส.ค.ว่าเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดหรือไม่ และกนง.ได้ลดดอกเบี้ยนโยบายไปเมื่อปลายเดือนพ.ค.แล้ว น่าจะรอดูผลก่อนว่านโยบายที่ได้ใช้ไปนั้นมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน

อีกทั้งเงินบาทที่อ่อนค่าลงมา ทำให้แรงกดดันในการลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอเงินทุนไหลเข้าลดลง โดยในเดือนมิ.ย.ค่าเงินบาทโดยเฉลี่ยเท่ากับ 30.80 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จากที่แข็งค่าในเดือนเม.ย.เฉลี่ยที่ 29.10 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งค่าเงินบาทในปัจจุบันถือว่าเป็นระดับที่ผู้ส่งออกยอมรับได้ รวมทั้งสินเชื่อและหนี้ภาคครัวเรือนที่ขยายตัวในระดับสูง อาจส่งผลลบต่อการบริโภคในระยะต่อไป การตรึงดอกเบี้ยนโยบายจึงเป็นการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากหนี้ภาคครัวเรือนในอนาคตได้

นอกจากนี้ หากพิจารณาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายนชะลอลงอยู่ที่ร้อยละ 2.3 ทำให้ช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวที่ร้อยละ 2.7 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำ โดยคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง และอยู่ในกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของกนง. ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนหากต้องลดดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต

"มองว่ากนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ไว้ และจะยังคงจับตามองเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 และหนี้สินภาคครัวเรือน ขณะที่แรงกดดันในเรื่องของค่าเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง" เอกสารเผยแพร่ระบุ

ทั้งนี้ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี มองว่า หากเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าคาดและผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทยก่อตัวชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ กระสุนดอกเบี้ยที่ยังคงมีอยู่ก็พร้อมที่จะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ