"วิรไท"ชี้ไทยยังไม่เข้าสู่หน้าผาการคลัง แต่มี 5 ปัจจัยเสี่ยงฉุดดิ่งเหว

ข่าวเศรษฐกิจ Monday July 15, 2013 14:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิรไท สันติประภพ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวในงานเสวนาหัวข้อ "สุมหัวคิด...fiscal cliff หนี้รัฐบาลไทย" โดยมองว่า แม้ปัจจุบันหากพิจารณาจากตัวเลขหนี้สาธารณะของประเทศในขณะนี้แล้ว จะยังไม่มีความน่าเป็นห่วงว่าไทยต้องเผชิญกับภาวะหน้าผาการคลังก็ตาม แต่ทั้งนี้ยังมีความเสี่ยงจาก 5 ปัจจัยสำคัญที่อาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยเดินเข้าสู่ภาวะหน้าผาทางการคลังได้อย่างไม่รู้ตัว

ปัจจัยแรก ประเทศไทยติดอยู่ในกับดักประชานิยม ซึ่งในช่วงหลังจะพบว่าพรรคการเมืองใช้นโยบายหาเสียงเลือกตั้งโดยเน้นประชานิยมเป็นหลัก ซึ่งถือว่าเป็นการเสนอสวัสดิการให้เกินความต้องการขั้นพื้นฐานของประชาชน และเป็นนโยบายแบบปลายเปิดที่ยากจะประเมินความเสียหายในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายรถคันแรก หรือนโยบายจำนำข้าว เป็นต้น

อีกทั้งนโยบายประชานิยมเหล่านี้ยังเป็นการเพิ่มภาระรายจ่ายประจำของงบประมาณในแต่ละปีให้เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องไปลดทอนงบรายจ่ายในส่วนที่จำเป็นลง โดยเฉพาะงบรายจ่ายเพื่อการลงทุน และนี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการใช้เม็ดเงินนอกงบประมาณด้วยการกู้เงินมาใช้เพื่อการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครงการลงทุนเพื่อการบริหารจัดการน้ำ วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท

ปัจจัยที่สอง ความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยและประเทศไทยที่หากเทียบกับประเทศในอาเซียนแล้ว จะพบว่าภาคธุรกิจไทยมีความสามารถทางการแข่งขันลดลงในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งเมื่อภาคธุรกิจมีความสามารถทางการแข่งขันลดลง ย่อมจะมีผลต่อการทำรายได้ของธุรกิจและมีผลมาถึงการจ่ายภาษีให้แก่ภาครัฐด้วย

ปัจจัยที่สาม การเข้าสู่สังคมผู้สุงอายุ ซึ่งต้องยอมรับว่าประเทศไทยได้เริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว โดยปัจจุบันมีประชากรที่อายุเกิน 60 ปีคิดเป็น 10% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 25% ในอีก 17 ปีข้างหน้า ซึ่งการเป็นสังคมผู้สูงอายุจะทำให้ภาครัฐมีรายจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นในงบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศ และส่งผลกระทบต่อการออมของภาคครัวเรือนที่จะต้องนำเงินไปใช้เพื่อการดูแลรักษาผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยมากขึ้น ทำให้ลดปริมาณเงินออม และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนก็จะลดลงตามไปด้วย

ปัจจัยที่สี่ ประสิทธิภาพของผู้นำทางประเทศ โดยเฉพาะรัฐบาลซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบายการบริหารประเทศ ตลอดจนนักการเมือง และข้าราชการที่ควรต้องมีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัสน์สามารถมองอนาคตและวางแผนประเทศในระยะไกล กล้าที่จะสื่อสารออกไปได้หากเห็นการใช้นโยบายที่ไม่ถูกต้อง หรือส่อว่าจะมีการทุจริตคอรัปชั่น แต่จากปัจจุบันบทบาทของข้าราชการถูกลดทอนลง มีการเข้ามาแทรกแซงจากภาคการเมือง รวมทั้งแนวทางที่ใช้สำหรับการดูแลปัญหาเศรษฐกิจของประเทศยังเป็นเพียงแค่การมองในระยะสั้นๆ โดยเป็นเพียงการให้ความสำคัญกับมาตรการเศรษฐกิจมากกว่านโยบายเศรษฐกิจ

ปัจจัยที่ห้า การสร้างภูมิคุ้มกันหรือการบริหารความเสี่ยง โดยในท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจำเป็นจะต้องมีการวิเคราะห์สถานการณ์ไว้หลายแนวทางเลือก ซึ่งเป็นการเผื่อไว้หากเกิดปรากฎการณ์ลูกโซ่ที่อาจจะมีผลกระทบจาก senario หนึ่งไปยังอีก senario หนึ่ง แต่ขณะนี้พบว่ายังไม่ค่อยมีการดำเนินการในลักษณะนี้มากนัก

"ถ้าดูจากหนี้สาธารณะตอนนี้ไม่น่ากลัว เรายังไม่มีปัญหาหน้าผาการคลัง แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง เพราะปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวที่ทำให้อนาคตเราอาจเดินลงจากเขาไปเรื่อยๆ และลงไปสู่เหวโดยไม่รู้ตัว" นายวิรไท กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ