นางจินตนา ชัยยวรรณาการ รองอธิบดี
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงการใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีด้านการลงทุนในกรอบของ
อาเซียนว่า ขณะนี้
อุตสาหกรรมของไทยจำนวนมากได้เข้าไปลงทุนทำธุรกิจต่างๆ ในประเทศ
อาเซียน ซึ่งมีทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และรายเล็ก(
SMEs) เช่น กลุ่ม
ปตท.ลงทุนทำเหมืองถ่านหินใน
อินโดนีเซีย และโรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาว, กลุ่มเบียร์ช้าง ซื้อหุ้นกาแฟดาวในลาว และลงทุนทำปาล์มน้ำมันที่สีหนุวิลล์ กัมพูชา, กลุ่มมิตรผล ลงทุนผลิตน้ำตาลในลาว, กลุ่มซี.พี. ลงทุนปลูกพืชเกษตร เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง ในกัมพูชาและลาว ขณะที่กลุ่ม
SMEs เช่น กลุ่มธุรกิจประมง ไปลงทุนทำประมงใน
อินโดนีเซีย และเมียนมาร์, ส้มธนาธรไปลงทุนปลูกส้มที่ลาว เป็นต้น
"การใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีการลงทุน ภาครัฐจะต้องช่วยเหลือผู้ประกอบการของไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่ขาดแคลนเงินทุน และประสบการณ์ในการทำธุรกิจ หากภาครัฐส่งเสริมอย่างเต็มที่ เชื่อว่าธุรกิจของไทยจะเข้าไปลงทุนและขยายธุรกิจในประเทศอาเซียนได้เพิ่มมากขึ้น และประสบความสำเร็จแน่นอน" นางจินตนากล่าว
สำหรับการเปิดเสรีของไทยนั้น ได้ผูกพันที่จะเปิดเสรีใน 3 สาขา คือ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ, การทำป่าไม้จากป่าปลูก และการเพาะขยายหรือปรับปรุงพันธุ์พืช ซึ่งที่ผ่านมาได้เปิดเสรีให้สมาชิกอาเซียนอื่นๆ เข้ามาเพาะพันธุ์หอมหัวใหญ่ เพราะไทยผลิตเองไม่ได้ การให้ทำประมงเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์ ปลาทูน่าในกระชังน้ำลึก ซึ่งไทยขาดวัตถุดิบ รวมถึงอนุญาตให้ปลูกป่าไม้สักที่ไทยขาดแคลน
ส่วนการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ใน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และกฎหมายเฉพาะอื่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้ประกอบการไทย ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าหลังการเปิดเสรีแล้วจะไม่สามารถแข่งขันได้