"ปัจจัยสำคัญ 3 เรื่องที่ทำให้การส่งออกลดลง คือ เงินบาทแข็งค่า และภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว" นางวัชรี กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ก.ค.56) การส่งออกมีมูลค่า 132,368.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 0.60% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 150,420.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 3.85% ส่งผลให้ขาดดุลการค้ารวมทั้งสิ้นประมาณ 18,052.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับสาเหตุที่ส่งออกลดลงเป็นผลจากเศรษฐกิจประเทศผู้นำเข้ารายสำคัญชะลอตัวลง เช่น เศรษฐกิจยูโรโซนที่อยู่ในภาวะถดถอย เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ชะลอตัวจากภาคธุรกิจที่ชะงักงัน และเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ความต้องการนำเข้าชะลอตัวลงจากผลกระทบเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงของภาคธุรกิจ และตะวันออกกลางเกิดสถานการณ์ความไม่สงบยืดเยื้อและขยายวงกว้างมากขึ้น
โดยการส่งออกหมวดสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในภาพรวมลดลง 8.8% ได้แก่ ยางพารา(-20.5%) อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป(ไม่รวมกุ้ง)(-13.4%) กุ้งแช่แข็งและแปรรูป(-45.7%) ผักและผลไม้(-0.6%) ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป(-0.9%) น้ำตาล(-31.7%) ส่วนสินค้าที่ยังส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าว(+8.2%) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง(+48.2%)
ขณะที่การส่งออกหมวดสินค้าอุตสาหกรรมในภาพรวมลดลง 3.1% ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า(-5.9%) ยานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ(-5.4%) เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก(-2.8%) วัสดุก่อสร้าง(-9.7%) อัญมณีและเครื่องประดับ(-2.4%) ทองคำยังไม่ขึ้นรูป(-19.3%) เครื่องเดินทาง เครื่องหนังและรองเท้า(-3.1%) เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์(-15.2%) เครื่องใช้และเครื่องประดับตกแต่งบ้าน(-5.7%) อาหารสัตว์เลี้ยง(-3.4%) ส่วนสินค้าที่ยังส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์(+1.1%) สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม(+4.4%) อัญมณี(ไม่รวมทองคำ)(+20.4%) สิ่งพิมพ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์(+1.2%) เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน(+1.2%) นาฬิกาและส่วนประกอบ(+23%) ของเล่น(+36.8%) และสำหรับการส่งออกหมวดสินค้าอื่นๆ โดยภาพรวมเพิ่มขึ้น 11.1%
เมื่อแยกการส่งออกเป็นรายตลาด พบว่า ตลาดหลักภาพรวมลดลง 4% โดย ญี่ปุ่น(-10.5%) สหรัฐอเมริกา(-0.6%) สหภาพยุโรปสมาชิกเดิม 15 ประเทศ(0.0%) ขณะที่ตลาดศักยภาพสูงภาพรวมเพิ่มขึ้น 2.1% ได้แก่ อาเซียน(9)(+8.6%)[อาเซียนเดิม (5) (+8.8%) อินโดจีนและพม่า(+8.3%)] เอเชียใต้(8)(+9.8%) แต่ตลาดที่ลดลง ได้แก่ จีน(-5.3%) ฮ่องกง(-7.8%) เกาหลีใต้(-12.4%) ไต้หวัน(-3.3%) ส่วนตลาดศักยภาพระดับรองภาพรวมเพิ่มขึ้น 1.9% ได้แก่ ทวีปออสเตรเลีย(+17.3%) ทวีปแอฟริกา(+17.6%) สหภาพยุโรปสมาชิกใหม่ 12 ประเทศ(+11.7%) ส่วนตลาดที่ลดลง ได้แก่ ตะวันออกกลาง(-13.9%) ลาตินอเมริกา(-5.4%) รัสเซียและCIS(-12.9%) แคนาดา(-15.8%) และตลาดอื่นๆ ภาพรวมลดลง 75.1% โดยสวิตเซอร์แลนด์(-81.2%)
ขณะที่สินค้าที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ หมวดวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป(+12.5%)[เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์(+44.7%) เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่ง และทองคำ(+64%) ทองคำ(+95.4%) เคมีภัณฑ์(+0.9%) ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์(+4.3%)] หมวดอุปโภค/บริโภค(+9.4%)[เครื่องใช้ไฟฟ้า(+6%) ผลิตภัณฑ์เวชกรรม(+15.5%) เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด (+6.7%) ผัก ผลไม้และของปรุงแต่ง(+28.9%)] ส่วนหมวดสินค้าที่ลดลง ได้แก่ หมวดเชื้อเพลิง(-15.4%) [น้ำมันดิบ (-24%) น้ำมันสำเร็จรูป(+19.9%) ก๊าซธรรมชาติปิโตรเลียม(-2.2%)] หมวดสินค้าทุน(-3.6%) [เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (-4.2%) เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ(-10.8%) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ(-10.1%) เครื่องบิน เครื่องร่อน และอุปกรณ์(-10.1%)] หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง(-8.9%) [ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์(-10.9%) รถยนต์นั่ง (+9.9%) ส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์และรถจักรยาน(+12.4%) รถยนต์โดยสารและรถบรรทุก(-16.4%)] หมวดอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ(-16.5%)
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับการดูแลการส่งออกในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศไปจัดทำแผนงานพิเศษในการบุกตลาดส่งออกเพิ่มเติมเพื่อชดเชยจากตลาดที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา ตลอดจนการทำแผนส่งเสริมการตลาด และการจัดแสดงสินค้า
นอกจากนี้ในเดือน ก.ย.จะมีการประชุมทูตพาณิชย์ทั่วโลกเพื่อปรับแผนส่งเสริมการส่งออกให้เป็นเชิงรุกมากขึ้น และน่าจะประเมินสถานการณ์การส่งออกในปีนี้ให้เป็นภาพชัดเจนมากขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์ยังคงเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ไว้ที่ 7.0-7.5% เท่าเดิม ส่วนจะมีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายการส่งออกหรือไม่นั้นคงต้องรอการประชุมทูตพาณิชย์ทั่วประเทศก่อน