ทั้งนี้ หากแยกเป็นดัชนีแต่ละรายการ พบว่า ดัชนีสุขภาพของธุรกิจอยู่ที่ 61.3 ลดจาก 61.5, ดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจอยู่ที่ 57.5 ลดจาก 59.5 และดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจอยู่ที่ 53.6 ลดจาก 57.7
เนื่องจากผู้ประกอบการมีปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งด้านค่าจ้างและวัตถุดิบ แต่ไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้ตามเป้าหมาย หรือปรับขึ้นราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนได้ ส่งผลให้รายได้และกำไรลดลง
ส่วนปัจจัยลบที่จะมีผลกระทบต่อขีดความสามารถการแข่งขันในอีก 3 เดือนข้างหน้ามากที่สุดคือ ปัญหาสต็อกสินค้าที่เหลือยังขายไม่ได้เพิ่มขึ้น รองลงมาเป็นสินค้าต้นทุนสูงกว่าคู่แข่ง, ยอดขายมีแนวโน้มลดลง, กำไรจากกรขายลดลง, ลูกค้าไม่มีความจงรักภักดีต่อตัวสินค้า, ตราสินค้าอ่อนแอ, พนักงานมีทักษะด้อยกว่าคู่แข่ง, สินค้ามีคุณภาพต่ำกว่าคู่แข่ง, ขาดสภาพคล่อง, ช่องทางตลาดมีน้อย และส่งมอบสินค้าไม่ทันกำหนด
ส่วนคาดการณ์ใน 3 เดือนข้างหน้า SMEs ส่วนใหญ่ 68.8% ยังมองว่าดัชนีความสามารถในการแข่งขันไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ 21.1% มองว่าจะดีขึ้น และ 10.1% มองว่าจะแย่ลง ส่วนความต้องการที่ให้รัฐบาลช่วยเหลือ อันดับแรกทำให้ต้นทุนสินค้าลดลงและแข่งกับคู่แข่งได้ รองลงมาช่วยหาตลาดรองรับสินค้าเพิ่มขึ้น ช่วยหาแรงงานที่มีฝีมือเพิ่มขึ้น และให้ช่วยในการหาเครื่องจักรใหม่มาทดแทนอันเก่าที่ล้าสมัย